วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

ประเทศพม่า


                                                   


พม่า (Myanmar)









ชื่อทางการ : สหภาพพม่า (Union of Myanmar)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ที่ละติจูดที่ 28 องศา 30 ลิปดา ถึง 10 องศา 20 ลิปดาเหนือ ภูมิประเทศตั้งอยู่ตามแนวอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันทำให้มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,000 ไมล์

  • ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทิเบตและจีน
  • ทางตะวันออกติดกับลาว
  • ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับไทย
  • ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับบังคลาเทศและอินเดีย
  • ทางตะวันตกเฉียงใต้และทางใต้ติดกับทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอล
พื้นที่ : 676,577 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1.3 เท่าของไทย)
เมืองหลวง : เนปีดอ (Naypyidaw) (ภาษาพม่า) หรือบางครั้งสะกดเป็น เนปีตอ (Nay Pyi Taw) (มีความหมายว่า มหาราชธานี) เป็นเมืองหลวงและเมืองศูนย์กลางการบริหารของสหภาพพม่าที่ได้ย้ายมาจากย่างกุ้ง ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัตปแว (Kyatpyae) ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองเปียนมานา (Pyinmana) ในเขตมัณฑะเลย์ สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาโดยรอบ เมืองนี้เป็นเมืองเดียวของประเทศพม่าที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่เมืองหลวงเก่าย่างกุ้งจะไฟฟ้าดับอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เมืองนี้อยู่ห่างย่างกุ้งไปทางเหนือประมาณ 320 กิโลเมตร ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งทางการพม่านั้นต้องการ เมืองนี้เริ่มมีการสร้างสิ่งต่าง ๆ บ้างแล้ว เช่น อพาร์ตเมนท์ ซึ่งคนพอมีเงินที่จะมาซื้ออยู่อาศัย เริ่มมีประชาชนอพยพมาอาศัยอยู่หลายหมื่นคน แต่เมืองหลวงแห่งนี้ ยังไม่มีโรงเรียน โรงพยาบาล เปรียบเสมือนเมืองทหาร ซึ่งกำลังก่อสร้างต่อไป
ประชากร : ประมาณ 56 ล้านคน (พ.ศ.2548) มีเผ่าพันธุ์ 135 เผ่าพันธุ์ ประกอบด้วย เชื้อชาติหลัก ๆ 8 กลุ่ม คือ พม่า (ร้อยละ 68) ไทยใหญ่ (ร้อยละ 8) กะเหรี่ยง (ร้อยละ 7) ยะไข่ (ร้อยละ 4) จีน (ร้อยละ 3) มอญ (ร้อยละ 2) อินเดีย (ร้อยละ 2)
ภูมิอากาศ : สภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่ในบริเวณที่เป็นเทือกเขาสูงทางตอนกลางและตอนเหนือของประเทศจะมีอากาศแห้งและร้อนมากในฤดูร้อน ส่วนในฤดูหนาวอากาศจะเย็นมาก ตามชายฝั่งทะเลและบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำจะแปรปรวนในช่วงเปลี่ยนฤดู เพราะได้รับอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่นเสมอ ทำให้บริเวณนี้มีฝนตกชุกหนาแน่นมากกว่าตอนกลางหรือตอนบนของประเทศที่เป็นเขตเงาฝน ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว คือ ควรเดินทางในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ เพราะฝนไม่ตก และอากาศไม่ร้อนจนเกินไปนัก
ภาษา : ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ
ศาสนา : ศาสนาพุทธ (พม่าบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติใน พ.ศ. 2517) ร้อยละ 90 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 5 ศาสนาอิสลามร้อยละ 3.8 ศาสนาฮินดูร้อยละ 0.05
สกุลเงิน : จ๊าด (Kyat : MMK) อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 จ๊าดต่อ 1 บาท หรือประมาณ 1,300 จ๊าดต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (มิถุนายน 2549)
ระบอบการปกครอง : เผด็จการทางทหาร ปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council – SPDC)

  • ประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (ประมุขประเทศ) คือ พลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย (Senior General Than Shwe) (เมษายน 2535)
  • นายกรัฐมนตรี (หัวหน้ารัฐบาล) คือ พล.อ.เทียน เส่ง (Gen. Thein Sein) นายกรัฐมนตรีคนที่ 11 ของประเทศพม่า 


อาหารของประเทศพม่า





     ชาวพม่าทั่วไปนิยมบริโภคข้าวเจ้าเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับชาวไทยภาคกลาง ส่วนกับข้าวก็มีทั้งแกง ต้ม ผัด และน้ำพริก จึงดูคล้ายกับอาหารไทย เว้นแต่องค์ประกอบและรสชาติของอาหารจะแตกต่างจากอาหารไทยอยู่พอควร
    กับข้าวพม่ามีองค์ประกอบเป็นเนื้อและผักนานาชนิด เนื้อที่นิยมบริโภคมีทั้งเนื้อแพะ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และปลา แต่เมื่อยามถือศีลคนพม่ามักงดอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อวัว ด้วยถือว่าวัวเป็นสัตว์ให้คุณใช้แรงงาน บ้างเชื่อว่าเนื้อวัวเป็นอาหารแสลง คนมีแผลหนองไม่ควรรับประทาน การเรียกชื่อเนื้อวัวก็เลี่ยงใช้เป็นอย่างอื่น คือ วัวเป็นๆจะเรียกว่า นวฺาหรือนัว  แต่เรียกเนื้อวัวว่า อะแมตา ซึ่งสะท้อนอิทธิพลฮินดูที่นับถือวัวยิ่งกว่าสัตว์อื่น ในบรรดาอาหารเนื้อนี้ ปลานับว่ามีราคาถูก และมักเป็นปลาน้ำจืด เช่น ปลาตะเพียน ปลาค้าว ปลากด ปลาหมอ ปลากระดี่ และที่นิยมกินกันมาก คือ งาตะเล่าก์   ซึ่งน่าจะเป็นปลาตะลุมพุก ไข่ปลาชนิดนี้ชาวพม่าถือเป็นอาหารชั้นดี ในประเทศพม่านั้นปลาเกือบทุกชนิดมีแต่ตัวใหญ่ๆ ปลาบางชนิดต้องแล่แบ่งขายเป็นท่อนๆ พม่าออกจะมีปลาอุดมสมบูรณ์ ต่างจากไทยที่คนรุ่นหลังมักไม่ค่อยได้เห็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ในแม่น้ำลำคลองกันบ่อยนัก ในส่วนของปลาทะเลนั้น แถบย่างกุ้งแม้จะอยู่ไม่ห่างจากทะเลมากนักแต่ก็ไม่ค่อยพบอาหารทะเล และที่ว่าไปย่างกุ้งจะต้องกินกุ้งย่างอร่อยๆให้ได้นั้นเห็นจะต้องผิดหวัง เพราะไม่ค่อยเห็นมีกุ้งตัวใหญ่ๆวางขายในตลาดสดมากนัก พบแต่กุ้งตัวขนาดแค่คืบ นำมาทำแกงขายตกตัวละ ๔๐๐ จั๊ต ซึ่งนับว่าแพง นอกนั้นจะเป็นกุ้งแห้งกุ้งฝอย มีขายอยู่ในตลาดสดแทบทุกแห่ง

     หันมาดูพืชผักที่ชาวพม่านิยมบริโภคกันบ้าง ผักที่พม่าชอบกินก็มีเห็นๆอยู่ทั่วไปในเมืองไทย ที่พบขายอยู่บ่อย เช่น ใบกระเจี๊ยบแดง ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ผักชี ใบบัวบก กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ที่เป็นพืชกินผล กินหัว กินเหง้า มีอาทิ มะเขือยาว มะเขือเทศ แตงกวา แตงร้าน น้ำเต้า มะรุม ลูกเนียง หัวผักกาดขาว มันฝรั่ง หยวกกล้วย หน่อไม้ แครอท และถั่วนานาชนิด พม่าไม่มีผัก "อนามัย" อย่างบ้านเรา ผักทุกชนิดที่ขายตามท้องตลาดมีระดับเดียวคือ "แบกับดิน" แต่ก็เป็นผักใหม่ สด อวบ น่ารับประทาน ส่วนใหญ่เป็นผักที่ใช้ปุ๋ยธรรมชาติใกล้ตัวแทบทั้งสิ้น แต่ไว้ใจได้ว่าปลอดสารพิษ บ้านพม่าส่วนใหญ่ตามชนบทหรือชานเมืองมักมีสวนครัวในบริเวณบ้านปลูกผักไว้กินเอง ที่พบบ่อยๆก็คือร้านน้ำเต้าลูกโตๆ สวนครัวจึงถือเป็นตลาดหลังบ้านสำหรับชาวพม่า จนมีคำพูดติดปากว่า "ปลูกร้านค้าไว้หลังบ้าน" แม้ไม่พึ่งตลาด ก็อยู่ได้สบาย
     สำหรับพืชผักที่คนพม่าชอบกินเห็นจะเป็นผลน้ำเต้า ใบกระเจี๊ยบแดง และถั่ว น้ำเต้ากินได้ทั้งยอดและผล นำมาแกง ต้ม และทอดชุบแป้งกินเป็นของว่าง ส่วนใบกระเจี๊ยบปรุงเป็นอาหารได้ทั้งต้มและผัด หากต้มจะเรียกว่า ฉี่งบ่องฮีงโฉ่  หรือนำมาผัด เรียกว่า ฉี่งบ่องจ่อ ใบกระเจี๊ยบจัดได้ว่าเป็นอาหารประจำสำรับ ช่วยเจริญอาหาร และแก้เลี่ยนไปในตัว สำหรับถั่วนั้นเป็นพืชเกษตรเช่นเดียวกับข้าว พม่านิยมบริโภคถั่วถึงราว ๒๐ ชนิด อาทิ ถั่วลิสง ถั่วแขก ถั่วเนย ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วผีเสื้อ เป็นต้น พม่าปลูกถั่วกันมากทางตอนบนของประเทศ คนพม่านำถั่วมาปรุงอาหารได้สารพัดอย่าง ทั้งแกง ต้ม ผัด คั่ว หมัก และทำเป็นน้ำมันปรุงอาหาร หากเยือนพม่าแล้วไม่ได้กินถั่ว หรือพลาดลิ้มรสน้ำเต้าและใบกระเจี๊ยบ ถือว่ายังตีไม่ถึงท้ายครัวพม่า
     สิ่งที่อาหารชาติไหนๆมักขาดไม่ได้ก็คือเครื่องปรุงรส การปรุงอาหารให้มีรสชาติและมีกลิ่นหอมชวนกิน พม่าจะใช้น้ำมัน เกลือ หัวหอม และกระเทียมเป็นเครื่องปรุงหลัก และใช้ขิง ตะไคร้ ผักชี ใบแมงลัก ใบมะขาม มะนาวหลวง(พม่าเรียกเช่าก์ตี่) ผงกะหรี่ พริก น้ำปลา ซีอิ๊ว ปลาร้า กะปิ ถั่วเน่า และปลาแห้งเป็นเครื่องปรุงเสริมตามชนิดของอาหาร อาทิ แกงสี่เบี่ยง มีหน้าตาคล้ายแกงฮังเลของไทยภาคเหนือ และคล้ายแกงมัสมั่นของแขก พม่านิยมใส่ขิงเป็นเครื่องปรุงสำคัญ แต่จะไม่ใส่เครื่องเทศมากมายอย่างแกงแขก สำหรับแกงฮีงเล ของพม่าที่ฟังชื่อคล้ายกับแกงฮังเลของคนเมืองกลับมีหน้าตาเหมือนแกงโฮะ ไม่ทราบว่าเป็นด้วยเพราะเหตุใด
     คนพม่าไม่กินใบกะเพรา แต่จะกินเฉพาะใบแมงลัก ใบกะเพรานั้นพม่าถือเป็นอาหารสำหรับวัวเท่านั้น คนพม่าจึงมักแปลกใจที่คนไทยนิยมกินใบกระเพา ทำนองเดียวกัน คนไทยทั่วไปจะเห็นแกงไข่ต้มของพม่าเป็นของแปลกเช่นกัน ส่วนมะนาวนั้นพม่ากินกันน้อยเพราะราคาแพงพอๆกับไข่ไก่ คนพม่าจึงใช้มะนาวหลวงซึ่งมีลูกโตกว่าและให้น้ำได้มากกว่ามะนาวควายอย่างที่ไทยนิยม นอกจากนี้ก็ใช้ใบมะขามหรือมะขามเปียกเพิ่มรสชาติด้วยเช่นกัน เครื่องปรุงอีกชนิดที่อดพูดถึงไม่ได้คือ ผงชูรส หรือที่พม่าเรียกว่า อะโฉ่-ฮม่ง แปลตามศัพท์ได้ว่า "ผงหวาน" หากกินอาหารพม่าก็ยากที่จะเลี่ยงผงชูรส เพราะเห็นทั้งแม่ค้าและแม่ครัวชอบปรุงอาหารด้วยผงชูรสกันทีละมากๆ กับข้าวทุกชนิดไม่ว่าจะต้มยำทำแกงอะไรก็ใส่ผงชูรสจนสิ้น แม้แต่โรยคลุกข้าวกินก็มี ที่น่าสนใจคือชาวพม่าจะใช้ผงชูรสประกอบในเครื่องเซ่นเจ้าที่ ส่วนน้ำปลานั้นทางพม่ามีเหมือนไทย นิยมขายเป็นแกลลอนหรือเป็นถุง มีทั้งน้ำปลาชนิดน้ำใสและชนิดน้ำขุ่นจนดำสนิท พม่าเรียกน้ำปลาว่า หงั่งปยาเหย่ ฝ่ายพม่าเชื่อว่าน่าจะเป็นคำไทยประสมคำพม่า มีคำว่า เหย่ เท่านั้นที่เป็นคำพม่า แปลว่า "น้ำ" ส่วน หงั่งปยา เชื่อว่าคงจะเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า น้ำปลา ของไทย



 ชุดประจำชาติของประเทศพม่า

          ชุดประจำชาติของชาวพม่าเรียกว่า ลองยี (Longyi) เป็นผ้าโสร่งที่นุ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในวาระพิเศษต่าง ๆ ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดารินและเสื้อคลุมไม่มีปก บางครั้งจะใส่ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) ด้วย ส่วนผู้หญิงพม่าจะใส่เสื้อติดกระดุมหน้าเรียกว่า ยินซี (Yinzi) หรือเสื้อติดกระดุมข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) และใส่ผ้าคลุมไหล่ทับ

พาไปชม 10 ชุดประจำชาติอาเซียน




พาไปชม 10 ชุดประจำชาติอาเซียน
ลองยี - ปรเทศพม่า



สหภาพพม่า 
พม่า เป็นชาติที่ไทยเรารู้จักกันมานาน ปัจจุบันพม่ามีการปกครองแบบสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยจึงเรียกว่า “สหภาพพม่า” พม่ามีอาณาเขตใกล้เคียงกับไทย และสามารถ ติดต่อกันได้ทั้งทางบก น้ำและอากาศ สหภาพพม่ามีประชากรเป็นชนเชื้อชาติต่าง ๆ หลายเผ่า และเคยตกเป็นเมืองขึ้น ของอังกฤษ แต่วัฒนธรรมทางด้านศิลปะ ศาสนา และเครื่องแต่งกายก็ยัง มิได้เปลี่ยนแปลงไป

การแต่งกาย
เครื่องแต่งกาย ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า “ลองยี” (Longeje) ซึ่งมีทั้งผ้าฝ้ายและไหมที่มีสีสด ของผู้หญิงจะมีลายเชิงด้านล่างและมีลวดลายเล็ก ๆ กระจายทั่ว ผืนผ้า ลวดลายของแต่ละท้องถิ่นจะต่างกัน ผ้าที่ทอมาจากเมืองอมรปุระเป็นลวดลายดอกไม้ เครือไม้ หรือเป็นดอกเป็นลายตามขวาง ไม่นิยมใช้เข็มขัด สวมเสื้อตัวสั้น คอกลม ผ่าอกติดกระดุม 5 เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ บางครั้งเป็นแขนสั้น เลยไหล่ลงมาเล็กน้อย ผ้าตัดเสื้อนิยมใช้ ผ้าเนื้อบาง สีสด เช่น ผ้ามัสลิน ผ้าป่าน หรือผ้าไนลอน สวมรองเท้าคีบรองเท้าแตะ ทั้งหญิง ชาย แต่ของหญิงจะเป็นสี มีลวดลายเป็นดอกดวง ปักด้วยลูกปัด หรือดิ้น เงินดิ้น ทอง สะพายย่าม ซึ่งเป็นผ้าไหมสีสวยสดทอมาจากรัฐฉาน

ผม โดยทั่วไปไว้ผมยาวเกล้าสูง บางทีก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวางบ้าง มีดอกไม้แซมผม เครื่องประดับ นิยมหิน และพลอยที่มีค่าเช่น ทับทิม นิล และหยก

ชาย
เครื่องแต่งกาย นุ่งโสร่งเช่นเดียวกับหญิงแต่สีไม่ฉูดฉาด เป็นลายตาราง โตบ้าง เล็กบ้าง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง โดยทั่วไปใส่เสื้อขาว เมื่อมีพิธีจะสวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ แบบหนึ่ง เรียกว่า “กุยตั๋ง” เป็นเสื้อชายสั้น ๆ ติดดุมถักแบบจีนป้ายมาข้าง ๆ อีกแบบเรียกว่า “กุยเฮง” ตัวยาวถึงสะโพก และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล ถ้าอากาศหนาวจะสวมเสื้อกัก ทอสักหลาดทับอีกชิ้น หนึ่ง จะสวมรองเท้าหุ้มส้นเมื่อมีพิธี

ผม ตัดผมสั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้าหรือ แพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายทิ้งไว้ทางด้านขวา นิยมใช้สีชมพู

ชาวพม่านิยมผลิตผ้าทอมือ แต่จะมีชาวเผ่าหนึ่งคือ พวก Yabeins แปลว่า ผู้ปลูกไหม ได้ ทอผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง เรียกว่า ผ้าตราหมากรุก (Check) นิยมทำกระโปรงแต่งงาน และเครื่องแต่งกายในพิธี ผ้าชนิดนี้จะมีเนื้อแน่น แข็งมาก ก่อนใช้ต้องนำไปแช่น้ำและทุบเสียก่อน เพื่อให้ผ้าเนื้อนิ่ม สีจะสวย ทนทาน นิยมใช้เป็นลองยีของสตรี ชาวพม่าได้เลียนแบบผ้าซิ่นผ้าไหมจากบางกอก เรียกว่า Bangkok lungis จะทอด้วยเส้น ไหมควบ นิยมทำสีอมเทา สีเหลืองอำพัน และสีเขียวทึม ๆ เป็นที่นิยมของสตรีพม่ามาก
การแต่งกายของชาวพม่า


วัฒนธรรมของพม่า

อาจกล่าวได้ว่า หากคุณเกิดเป็นลูกชายในครอบครัวชาวไทยใหญ่ ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องอยากเห็นคุณเข้าร่วมพิธีกรรมที่มีชื่อว่า ปอยส่างลอง สักครั้งในชีวิต เพราะพิธีกรรมนี้คือความภาคภูมิใจของพ่อแม่และชุมชนไทยใหญ่ที่ได้เห็นบุตรหลานของตนเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กชายในโลกปุถุชนไปเป็นสามเณรในโลกธรรมะ
ปอยส่างลอง เป็นภาษาไทยใหญ่ คำว่า ปอย หมายถึง งานหรือพิธี ส่วนคำว่า ส่างลอง หมายถึง ผู้ที่จะบรรพชาเป็นสามเณรหรือส่าง รวมแล้วหมายถึง พิธีบรรพชาสามเณร นั่นเอง เชื่อกันว่า หากลูกชายได้ผ่านพิธีกรรมนี้จะได้อานิสงค์ 8 กัลป์ ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าภาพบวชลูกผู้อื่นจะได้อานิสงค์ 4 กัลป์
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีโรงเรียน การบรรพชาเป็นสามเณรนอกเหนือจากเป็นโอกาสของบุตรชายที่จะได้ทดแทนบุญคุณมารดาแล้ว ยังเป็นโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้อีกด้วย ตามปกติ ปอยส่างลองมักจะจัดขึ้น เมื่อสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยว คือประมาณเดือนมีนาคม- เมษายนของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะมีการประชุมตกลงกันว่าจะจัดในช่วงเวลาไหน โดยจะไม่ให้ตรงกับที่อื่น เพื่อที่จะได้มีโอกาสไปร่วมงานปอยส่างลองในหมู่บ้านอื่น ๆ ได้
โดยปกติ ปอยส่างลอง มักจะจัดกันประมาณ 5 - 7 วัน พ่อแม่หรือผู้ปกครองของส่างลองจะต้องเตรียมข้าวของเงินทองและเครื่องใช้สำหรับจัดงานและเสาะหาผู้ที่จะมาดูแลส่างลองทั้งชายและหญิง หรือที่เรียกกันว่า“แม่เลี้ยงสาว”และ“ป้อเลี้ยงหม่าว” โดยจะต้องมีเป็นคู่ อาจจะมี 2 - 3 คู่ ป้อเลี้ยงหม่าวจะคอยผลัดเปลี่ยนกันแบกส่างลอง ส่วนแม่เลี้ยงสาวจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและการแต่งตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ หรือคนที่รู้จักสนิทสนมกัน
ก่อนถึงวันงาน บรรดาผู้ปกครองและญาติ ๆ จะพาส่างลอง ไปโกนผมที่วัด จากนั้น ส่างลองจะต้องนุ่งขาวห่มขาวและรับศีลห้า จากพระสงฆ์ จากนั้นบางแห่งจะมีการเดินขบวนกันไปขอขมาและเดินทางไปยังศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเป็นการบอกกล่าวว่าจะมีการจัดปอยส่างลองขึ้น
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการ “รับส่าง” หรือ “ฮับส่าง” ในวันนี้ บรรดาญาติ ๆ ของส่างลองที่เป็นผู้หญิงจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงส่างลอง โดยจะช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าทาปากให้สวยที่สุด การแต่งกายของส่างลองจะประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนที่เป็นเครื่องประดับศีรษะ เสื้อและกางเกง
ส่วนที่ประดับศีรษะจะวางมวยผมของผู้เป็นบุพการีไว้บนศีรษะและโพกด้วยผ้าที่มีสีสันแล้วคลี่เป็นรูปพัดให้สวยงาม สมัยก่อนประดับประดาไปด้วยดอกไม้สดนานาชนิดแต่ปัจจุบันนิยมใช้ดอกไม้ประดิษฐ์เพราะความคงทนและสามารถนำไปใช้บวชได้อีกหลายงาน ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวปักดิ้นเงินดิ้นทองระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแดดและสวมทับด้วยเครื่องประดับที่เรียกว่า “แคบคอ” และสร้อยมุก กางเกงเป็นแบบโจงกระเบน ปัจจุบัน นิยมตัดเย็บเป็นกางเกงสำเร็จรูป ใส่ถุงเท้าสีขาวคลุมน่องเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
มีหลายตำนานความเชื่อที่พยายามอธิบายถึงที่มาที่ไปของการแต่งองค์ทรงเครื่องส่างลองให้เหมือนกับเจ้าชายตัวน้อย บ้างก็ว่าเป็นการจำลองการผนวชของเจ้าชายสิทธัทถะที่เสวยสุขก่อนจะสละราชสมบัติและออกผนวชในสมัยพุทธกาล อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ในสมัยก่อนมีเด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยากจนและกำพร้าพ่อ ในขณะนั้นบรรดาลูกเศรษฐีในหมู่บ้านของเขาได้รวมตัวกันจัดปอยส่างลองขึ้น เด็กชายอัปลักษณ์อยากเป็นส่างลองแต่แม่ของเขาไม่มีเงิน เขาถูกคนอื่นๆ พูดจาถากถางว่าจนแล้วยังอยากที่จะเป็นส่างลองอีก เมื่อ บุนสาง หรือ พระพรหม ทราบเรื่อง จึงแปลงร่างเป็นชายชรามาให้เงินเพื่อนำไปจัดงาน และเสกให้เด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม เมื่อแห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่พบเห็นต่างกล่าวชื่นชมความงดงามส่างลองผู้นี้ตลอดทาง
บรรดาเจ้าชายตัวน้อยๆ จะได้รับการดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีเหมือนเป็นเจ้าชายจริง ๆ จะให้เท้าแตะพื้นไม่ได้ ซึ่ง “ตะแป่” จะเป็นผู้ที่แบกส่างลองไว้บนบ่าเมื่อต้องเดินขบวนแห่ หรือไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยจะมีบรรดาพี่เลี้ยงคอยกางร่มทองคำและดูแลเรื่องอาหารการกินและความเรียบร้อยของทรัพย์สินเครื่องประดับไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และที่สำคัญอย่าให้ คลาดสายตา เพราะถ้าเผลอ อาจจะมีคนแกล้งอุ้มส่างลองไปซ่อน ซึ่งพี่เลี้ยงต้องหาตัวให้พบ และเมื่อพบแล้ว ผู้ที่ลักส่างลองไปจะไม่ยอมให้ตัวส่างลองไปง่าย ๆ แต่จะเรียกเงินกันเป็นค่าไถ่ตัว พี่เลี้ยงต้องยอมจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้
ขั้นตอนต่อไป “ตะแป่” จะแบกส่างลอง เข้าแถวไปเป็นขบวน ซึ่งกระหึ่มไปด้วยเสียง กลองมองเซิง เครื่องดนตรีประจำชาติของไทยใหญ่ บรรเลงร่วมกับฉาบและมอง(หรือฆ้อง-ฆ้องแบบไทยใหญ่จะประกอบด้วย ฆ้องขนาดต่าง ๆ ประมาณ 6 ลูกหรือมากกว่านั้นที่เรียงกันโดยใช้ 2 คนแบกหน้าหลัง คนข้างหลังจะเป็นคนตี โดยคันที่ใช้ตีจะเชื่อมกับไม้ตีทั้ง 6 ทำให้ตีครั้งเดียวจะเกิดเสียงฆ้องสูงต่ำกังวานประสานกัน) ขบวนจะร่ายรำไปตามที่ต่างๆ เพื่อ “กั่นตอ” หรือ “ขอขมา” โดยชาวบ้านจะนำข้าวตอกมาโปรยเมื่อขบวนส่างลองผ่านมาเป็นการอวยพร
จากนั้นจะเป็นการ “แห่โคหลู่” (เครื่องไทยทาน)และส่างลองไปยังวัด ในวันนี้ชาวบ้านมาร่วมงานกันมากซึ่งแต่ละคน ก็จะแต่งกายชุดประจำชาติไทยใหญ่ร่วมขบวนกันอย่างสวยงาม จากนั้นจะประกอบพิธีที่เรียกว่า “ฮ่องขวัญ” หรือ “เรียกขวัญ” คล้ายกับการทำขวัญนาค และเลี้ยงอาหาร 12 ชนิด (ในสมัยก่อนมีถึง 32 ชนิด จากความเชื่อว่าผู้บรรพชาต้องมีอวัยวะครบ 32 ปัจจุบัน เหลือเพียง12 ชนิด ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่า หมายถึงข้าวปลาธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี)
ในวันรุ่งขึ้นจึงจะถึงพิธีบรรพชา ในช่วงเช้าของวันจะเป็นการแห่ส่างลองในชุดประดับประดาเต็มยศไปยังวัด ในช่วงบ่ายจะเป็นพิธีกรรมในอุโบสถ โดยส่างลองจะกล่าวคำขออนุญาตบรรพชาจากพระเถระ เมื่อได้รับอนุญาตจากพระเถระแล้วจึงรับจีวรจากบิดามารดาเพื่อเปลี่ยนจากชุดส่างลองไปห่มผ้าเหลืองถึงตอนนี้อาจจะมีเสียงพระเถระประกาศให้ช่วยกันเช็ดลิปสติก บรัชออน และอายชาโดว์ที่ช่วยกันแต่งแต้มอย่างสวยงามในตอนเช้าออกให้หมดจด เพราะเมื่อรับศีลสิบแล้วจะถือว่าเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเณรน้อยในผ้าเหลืองยังปากแดง แก้มแดงอยู่ ก็คงจะดูไม่เหมาะนัก เมื่อพิธีกรรมในการบรรพชาเสร็จสิ้นลง ผู้คนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อาจจะมีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จในการจัดเตรียมปอยส่างลองในหมู่ญาติพี่น้องและเจ้าภาพที่จัดงาน

ปัจจุบัน ชุมชนชาวไทยใหญ่ทั้งในรัฐฉาน ประเทศพม่า และชายแดนภาคเหนือของไทยยังคงจัดงานปอยส่างลองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารูปแบบการจัดงานของแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปตามงบประมาณที่มี แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันก็คือ ความภาคภูมิใจ ที่ได้เห็นเด็กชายห่มผ้าเหลืองและบุญกุศุลที่ได้จากการเปลี่ยนสถานภาพบุตรหลานจากโลกปุถุชนเข้าสู่โลกธรรมะ ดังเช่น งานปอยส่างลองที่จัดขึ้นในชุมชนชาวไทยใหญ่ที่หนีภัยการสู้รบมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2545
เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 เด็กชายวัย 8-19 ปีจำนวน 40 คนในชุดสีขาวกำลังยืนเข้าแถวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แม้วันนี้ พวกเขาจะไม่ได้เป็น “เจ้าชายสิทธัทถะ” ใส่เครื่องประดับสวยงาม ขี่หลัง “ตะแป่” เหมือนกับส่างลองในงานปอยส่างลองที่อื่น แต่พวกเขาก็ยังตื่นเต้นดีใจที่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะได้เปลี่ยนจากเสื้อกางเกงสีขาวเป็นจีวรสีเหลือง สร้างบุญกุศลให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องและคนในชุมชนที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้ขึ้น
จายแสง เด็กชายวัย 10 ขวบ บอกเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่และความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมวันนี้ว่า
“ที่หมู่บ้านผมมีการสู้รบบ่อยๆ ผมจึงต้องหนีมาอยู่ที่นี่ และผมดีใจมากที่ได้บวชในวันนี้”
พิธีปอยส่างลองที่นี้มีความแตกต่างจากที่อื่นในหลายเรื่อง อาทิ อายุของเด็กชายที่เข้าร่วมงานซึ่งบางคนล่วงเลยมาถึง 19 ปี รวมทั้งหลายคนเป็นเด็กกำพร้า เพราะนับตั้งแต่ชุมชนแห่งนี้อพยพหนีภัยการสู้รบมาจากฝั่งรัฐฉานเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เนื่องจากไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยให้เป็นผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินมาซื้ออาหารประทังชีวิต ด้วยรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 70-80 บาท จากสถานภาพที่ไม่แน่นอนและรายได้ที่จำกัดเช่นนี้ ทำให้กว่าจะได้จัดงานบวชครั้งนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปจนอายุของเด็กหลายคนมากกว่าเด็กที่เข้าร่วมพิธีทั่วไป และด้วยงบประมาณอันจำกัด การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่สามารถเนรมิตให้ “ลูกชาย” เป็น “เจ้าชาย” ได้ดังตั้งใจ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็หยิบยืมหรือได้รับการบริจาคจากชุมชนภายนอก ด้วยเหตุนี้ เฉดสีเหลืองของจีวรในงานนี้จึงมีตั้งแต่สีอ่อนซีดไปจนถึงสีเข้ม รวมทั้งขนาดเล็กใหญ่ไม่พอดีกับขนาดตัวของผู้สวมใส่ แต่ถึงกระนั้น ผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็ยังมองภาพบุตรหลานในชุดจีวรสีเหลืองด้วยความปลาบปลื้มใจ
พีธีกรรมในวันนี้ จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ในช่วงเช้า “ส่างลอง” จะใส่ชุดสีขาวเข้าแถวเรียงตามลำดับไหล่ยาวต่อกันไป ด้านหลังมีขบวนวงดนตรีแบบไทยใหญ่ครบชุด ตามด้วยครอบครัวและสมาชิกในชุมชน ขบวนค่อยๆ เคลื่อนออกจาก หมู่บ้านไปยังวัดซึ่งสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ จุคนได้ไม่เกิน 100 คน ทำให้บรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่ต้องนั่งรออยู่ด้านนอก และเด็กๆ พากันแอบมองลอดฟากไม้ไผ่ดูผู้คนด้านในกันอย่างสนุกสนาน พิธีกรรม ภายในจะมีพระ 4 - 5 รูป สวดมนต์ และญาติช่วยใส่จีวรใหม่ให้ หลังจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเปลี่ยนผ่าน “ส่างลอง” เป็นสามเณรแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็จะนำข้าวของจำเป็นไปถวาย ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้นลงในช่วงบ่าย
ผู้ปกครองคนหนึ่งเปิดเผยความรู้สึกของตนที่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายว่า
“มันเจ็บปวดเล็กน้อยที่เราต้องจัดงานบวชครั้งนี้แตกต่างจากที่เคยทำในรัฐฉาน แต่อย่างน้อยผมก็ยังภูมิใจที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้าเหลือง”
ปอยส่างลองที่ชายแดนไทย-พม่าแห่งนี้นับเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า พิธีกรรมนี้มีความสำคัญสำหรับชีวิตลูกผู้ชายชาวไทยใหญ่ และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่างานจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หรือเล็กกะทัดรัดเพียงใด รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของผู้คนที่เข้าร่วมงานนั้นมากมายเท่ากัน




• ประเทศพม่า• เมืองหลวง : กรุงเนปีดอ
• เมืองใหญ่สุด : ย่างกุ้ง
• ภาษาราชการ : ภาษาพม่า นอกจากภาษาพม่า ซึ่งเป็นภาษาราชการแล้ว พม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก 18 ภาษา
• สกุลเงิน : จัต
• สหภาพเมียนมาร์ (Union of Myanmar) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งชาวตะวันตกเรียกประเทศนี้ว่า Burma จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2532 พม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น Myanmar ชื่อใหม่นี้เป็นที่ยอมรับจากองค์การสหประชาชาติ แต่บางชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ไม่ยอมรับการเปลี่ยนชื่อนี้ เนื่องจากไม่ยอมรับรัฐบาลทหารที่เป็นผู้เปลี่ยนชื่อ ปัจจุบันหลายคนใช้คำว่า Myanmar ซึ่งมาจากชื่อประเทศในภาษาพม่าว่า Myanma Naingngandaw และชาวพม่าเรียกชื่อประเทศตนเองว่า บะหม่า



ทะเลเจดีย์ พุกาม



วัฒนธรรมของพม่า

อาจกล่าวได้ว่า หากคุณเกิดเป็นลูกชายในครอบครัวชาวไทยใหญ่ ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องอยากเห็นคุณเข้าร่วมพิธีกรรมที่มีชื่อว่า ปอยส่างลอง สักครั้งในชีวิต เพราะพิธีกรรมนี้คือความภาคภูมิใจของพ่อแม่และชุมชนไทยใหญ่ที่ได้เห็นบุตรหลานของตนเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กชายในโลกปุถุชนไปเป็นสามเณรในโลกธรรมะ
ปอยส่างลอง เป็นภาษาไทยใหญ่ คำว่า ปอย หมายถึง งานหรือพิธี ส่วนคำว่า ส่างลอง หมายถึง ผู้ที่จะบรรพชาเป็นสามเณรหรือส่าง รวมแล้วหมายถึง พิธีบรรพชาสามเณร นั่นเอง เชื่อกันว่า หากลูกชายได้ผ่านพิธีกรรมนี้จะได้อานิสงค์ 8 กัลป์ ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าภาพบวชลูกผู้อื่นจะได้อานิสงค์ 4 กัลป์
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีโรงเรียน การบรรพชาเป็นสามเณรนอกเหนือจากเป็นโอกาสของบุตรชายที่จะได้ทดแทนบุญคุณมารดาแล้ว ยังเป็นโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้อีกด้วย ตามปกติ ปอยส่างลองมักจะจัดขึ้น เมื่อสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยว คือประมาณเดือนมีนาคม- เมษายนของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะมีการประชุมตกลงกันว่าจะจัดในช่วงเวลาไหน โดยจะไม่ให้ตรงกับที่อื่น เพื่อที่จะได้มีโอกาสไปร่วมงานปอยส่างลองในหมู่บ้านอื่น ๆ ได้
โดยปกติ ปอยส่างลอง มักจะจัดกันประมาณ 5 - 7 วัน พ่อแม่หรือผู้ปกครองของส่างลองจะต้องเตรียมข้าวของเงินทองและเครื่องใช้สำหรับจัดงานและเสาะหาผู้ที่จะมาดูแลส่างลองทั้งชายและหญิง หรือที่เรียกกันว่า“แม่เลี้ยงสาว”และ“ป้อเลี้ยงหม่าว” โดยจะต้องมีเป็นคู่ อาจจะมี 2 - 3 คู่ ป้อเลี้ยงหม่าวจะคอยผลัดเปลี่ยนกันแบกส่างลอง ส่วนแม่เลี้ยงสาวจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและการแต่งตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ หรือคนที่รู้จักสนิทสนมกัน
ก่อนถึงวันงาน บรรดาผู้ปกครองและญาติ ๆ จะพาส่างลอง ไปโกนผมที่วัด จากนั้น ส่างลองจะต้องนุ่งขาวห่มขาวและรับศีลห้า จากพระสงฆ์ จากนั้นบางแห่งจะมีการเดินขบวนกันไปขอขมาและเดินทางไปยังศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเป็นการบอกกล่าวว่าจะมีการจัดปอยส่างลองขึ้น
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการ “รับส่าง” หรือ “ฮับส่าง” ในวันนี้ บรรดาญาติ ๆ ของส่างลองที่เป็นผู้หญิงจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงส่างลอง โดยจะช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าทาปากให้สวยที่สุด การแต่งกายของส่างลองจะประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนที่เป็นเครื่องประดับศีรษะ เสื้อและกางเกง
ส่วนที่ประดับศีรษะจะวางมวยผมของผู้เป็นบุพการีไว้บนศีรษะและโพกด้วยผ้าที่มีสีสันแล้วคลี่เป็นรูปพัดให้สวยงาม สมัยก่อนประดับประดาไปด้วยดอกไม้สดนานาชนิดแต่ปัจจุบันนิยมใช้ดอกไม้ประดิษฐ์เพราะความคงทนและสามารถนำไปใช้บวชได้อีกหลายงาน ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวปักดิ้นเงินดิ้นทองระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแดดและสวมทับด้วยเครื่องประดับที่เรียกว่า “แคบคอ” และสร้อยมุก กางเกงเป็นแบบโจงกระเบน ปัจจุบัน นิยมตัดเย็บเป็นกางเกงสำเร็จรูป ใส่ถุงเท้าสีขาวคลุมน่องเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
มีหลายตำนานความเชื่อที่พยายามอธิบายถึงที่มาที่ไปของการแต่งองค์ทรงเครื่องส่างลองให้เหมือนกับเจ้าชายตัวน้อย บ้างก็ว่าเป็นการจำลองการผนวชของเจ้าชายสิทธัทถะที่เสวยสุขก่อนจะสละราชสมบัติและออกผนวชในสมัยพุทธกาล อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ในสมัยก่อนมีเด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยากจนและกำพร้าพ่อ ในขณะนั้นบรรดาลูกเศรษฐีในหมู่บ้านของเขาได้รวมตัวกันจัดปอยส่างลองขึ้น เด็กชายอัปลักษณ์อยากเป็นส่างลองแต่แม่ของเขาไม่มีเงิน เขาถูกคนอื่นๆ พูดจาถากถางว่าจนแล้วยังอยากที่จะเป็นส่างลองอีก เมื่อ บุนสาง หรือ พระพรหม ทราบเรื่อง จึงแปลงร่างเป็นชายชรามาให้เงินเพื่อนำไปจัดงาน และเสกให้เด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม เมื่อแห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่พบเห็นต่างกล่าวชื่นชมความงดงามส่างลองผู้นี้ตลอดทาง
บรรดาเจ้าชายตัวน้อยๆ จะได้รับการดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีเหมือนเป็นเจ้าชายจริง ๆ จะให้เท้าแตะพื้นไม่ได้ ซึ่ง “ตะแป่” จะเป็นผู้ที่แบกส่างลองไว้บนบ่าเมื่อต้องเดินขบวนแห่ หรือไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยจะมีบรรดาพี่เลี้ยงคอยกางร่มทองคำและดูแลเรื่องอาหารการกินและความเรียบร้อยของทรัพย์สินเครื่องประดับไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และที่สำคัญอย่าให้ คลาดสายตา เพราะถ้าเผลอ อาจจะมีคนแกล้งอุ้มส่างลองไปซ่อน ซึ่งพี่เลี้ยงต้องหาตัวให้พบ และเมื่อพบแล้ว ผู้ที่ลักส่างลองไปจะไม่ยอมให้ตัวส่างลองไปง่าย ๆ แต่จะเรียกเงินกันเป็นค่าไถ่ตัว พี่เลี้ยงต้องยอมจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้
ขั้นตอนต่อไป “ตะแป่” จะแบกส่างลอง เข้าแถวไปเป็นขบวน ซึ่งกระหึ่มไปด้วยเสียง กลองมองเซิง เครื่องดนตรีประจำชาติของไทยใหญ่ บรรเลงร่วมกับฉาบและมอง(หรือฆ้อง-ฆ้องแบบไทยใหญ่จะประกอบด้วย ฆ้องขนาดต่าง ๆ ประมาณ 6 ลูกหรือมากกว่านั้นที่เรียงกันโดยใช้ 2 คนแบกหน้าหลัง คนข้างหลังจะเป็นคนตี โดยคันที่ใช้ตีจะเชื่อมกับไม้ตีทั้ง 6 ทำให้ตีครั้งเดียวจะเกิดเสียงฆ้องสูงต่ำกังวานประสานกัน) ขบวนจะร่ายรำไปตามที่ต่างๆ เพื่อ “กั่นตอ” หรือ “ขอขมา” โดยชาวบ้านจะนำข้าวตอกมาโปรยเมื่อขบวนส่างลองผ่านมาเป็นการอวยพร
จากนั้นจะเป็นการ “แห่โคหลู่” (เครื่องไทยทาน)และส่างลองไปยังวัด ในวันนี้ชาวบ้านมาร่วมงานกันมากซึ่งแต่ละคน ก็จะแต่งกายชุดประจำชาติไทยใหญ่ร่วมขบวนกันอย่างสวยงาม จากนั้นจะประกอบพิธีที่เรียกว่า “ฮ่องขวัญ” หรือ “เรียกขวัญ” คล้ายกับการทำขวัญนาค และเลี้ยงอาหาร 12 ชนิด (ในสมัยก่อนมีถึง 32 ชนิด จากความเชื่อว่าผู้บรรพชาต้องมีอวัยวะครบ 32 ปัจจุบัน เหลือเพียง12 ชนิด ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่า หมายถึงข้าวปลาธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี)
ในวันรุ่งขึ้นจึงจะถึงพิธีบรรพชา ในช่วงเช้าของวันจะเป็นการแห่ส่างลองในชุดประดับประดาเต็มยศไปยังวัด ในช่วงบ่ายจะเป็นพิธีกรรมในอุโบสถ โดยส่างลองจะกล่าวคำขออนุญาตบรรพชาจากพระเถระ เมื่อได้รับอนุญาตจากพระเถระแล้วจึงรับจีวรจากบิดามารดาเพื่อเปลี่ยนจากชุดส่างลองไปห่มผ้าเหลืองถึงตอนนี้อาจจะมีเสียงพระเถระประกาศให้ช่วยกันเช็ดลิปสติก บรัชออน และอายชาโดว์ที่ช่วยกันแต่งแต้มอย่างสวยงามในตอนเช้าออกให้หมดจด เพราะเมื่อรับศีลสิบแล้วจะถือว่าเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเณรน้อยในผ้าเหลืองยังปากแดง แก้มแดงอยู่ ก็คงจะดูไม่เหมาะนัก เมื่อพิธีกรรมในการบรรพชาเสร็จสิ้นลง ผู้คนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อาจจะมีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จในการจัดเตรียมปอยส่างลองในหมู่ญาติพี่น้องและเจ้าภาพที่จัดงาน

ปัจจุบัน ชุมชนชาวไทยใหญ่ทั้งในรัฐฉาน ประเทศพม่า และชายแดนภาคเหนือของไทยยังคงจัดงานปอยส่างลองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารูปแบบการจัดงานของแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปตามงบประมาณที่มี แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันก็คือ ความภาคภูมิใจ ที่ได้เห็นเด็กชายห่มผ้าเหลืองและบุญกุศุลที่ได้จากการเปลี่ยนสถานภาพบุตรหลานจากโลกปุถุชนเข้าสู่โลกธรรมะ ดังเช่น งานปอยส่างลองที่จัดขึ้นในชุมชนชาวไทยใหญ่ที่หนีภัยการสู้รบมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2545
เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 เด็กชายวัย 8-19 ปีจำนวน 40 คนในชุดสีขาวกำลังยืนเข้าแถวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แม้วันนี้ พวกเขาจะไม่ได้เป็น “เจ้าชายสิทธัทถะ” ใส่เครื่องประดับสวยงาม ขี่หลัง “ตะแป่” เหมือนกับส่างลองในงานปอยส่างลองที่อื่น แต่พวกเขาก็ยังตื่นเต้นดีใจที่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะได้เปลี่ยนจากเสื้อกางเกงสีขาวเป็นจีวรสีเหลือง สร้างบุญกุศลให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องและคนในชุมชนที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้ขึ้น
จายแสง เด็กชายวัย 10 ขวบ บอกเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่และความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมวันนี้ว่า
“ที่หมู่บ้านผมมีการสู้รบบ่อยๆ ผมจึงต้องหนีมาอยู่ที่นี่ และผมดีใจมากที่ได้บวชในวันนี้”
พิธีปอยส่างลองที่นี้มีความแตกต่างจากที่อื่นในหลายเรื่อง อาทิ อายุของเด็กชายที่เข้าร่วมงานซึ่งบางคนล่วงเลยมาถึง 19 ปี รวมทั้งหลายคนเป็นเด็กกำพร้า เพราะนับตั้งแต่ชุมชนแห่งนี้อพยพหนีภัยการสู้รบมาจากฝั่งรัฐฉานเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เนื่องจากไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยให้เป็นผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินมาซื้ออาหารประทังชีวิต ด้วยรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 70-80 บาท จากสถานภาพที่ไม่แน่นอนและรายได้ที่จำกัดเช่นนี้ ทำให้กว่าจะได้จัดงานบวชครั้งนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปจนอายุของเด็กหลายคนมากกว่าเด็กที่เข้าร่วมพิธีทั่วไป และด้วยงบประมาณอันจำกัด การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่สามารถเนรมิตให้ “ลูกชาย” เป็น “เจ้าชาย” ได้ดังตั้งใจ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็หยิบยืมหรือได้รับการบริจาคจากชุมชนภายนอก ด้วยเหตุนี้ เฉดสีเหลืองของจีวรในงานนี้จึงมีตั้งแต่สีอ่อนซีดไปจนถึงสีเข้ม รวมทั้งขนาดเล็กใหญ่ไม่พอดีกับขนาดตัวของผู้สวมใส่ แต่ถึงกระนั้น ผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็ยังมองภาพบุตรหลานในชุดจีวรสีเหลืองด้วยความปลาบปลื้มใจ
พีธีกรรมในวันนี้ จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ในช่วงเช้า “ส่างลอง” จะใส่ชุดสีขาวเข้าแถวเรียงตามลำดับไหล่ยาวต่อกันไป ด้านหลังมีขบวนวงดนตรีแบบไทยใหญ่ครบชุด ตามด้วยครอบครัวและสมาชิกในชุมชน ขบวนค่อยๆ เคลื่อนออกจาก หมู่บ้านไปยังวัดซึ่งสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ จุคนได้ไม่เกิน 100 คน ทำให้บรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่ต้องนั่งรออยู่ด้านนอก และเด็กๆ พากันแอบมองลอดฟากไม้ไผ่ดูผู้คนด้านในกันอย่างสนุกสนาน พิธีกรรม ภายในจะมีพระ 4 - 5 รูป สวดมนต์ และญาติช่วยใส่จีวรใหม่ให้ หลังจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเปลี่ยนผ่าน “ส่างลอง” เป็นสามเณรแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็จะนำข้าวของจำเป็นไปถวาย ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้นลงในช่วงบ่าย
ผู้ปกครองคนหนึ่งเปิดเผยความรู้สึกของตนที่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายว่า
“มันเจ็บปวดเล็กน้อยที่เราต้องจัดงานบวชครั้งนี้แตกต่างจากที่เคยทำในรัฐฉาน แต่อย่างน้อยผมก็ยังภูมิใจที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้าเหลือง”
ปอยส่างลองที่ชายแดนไทย-พม่าแห่งนี้นับเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า พิธีกรรมนี้มีความสำคัญสำหรับชีวิตลูกผู้ชายชาวไทยใหญ่ และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่างานจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หรือเล็กกะทัดรัดเพียงใด รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของผู้คนที่เข้าร่วมงานนั้นมากมายเท่ากัน


พม่า
















วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

เกาะปันหยี่

                                               เที่ยวเกาะ.........พังงาา









เกาะปันหยี

เกาะปันหยี

เกาะปันหยีหรือบ้านกลางน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา ชื่อนี้มีที่มาเนื่องจาก “โต๊ะบาบู”ผู้นำชาวอินโดนีเซียอพยพมาเมื่อ 200 ปีก่อน เมื่อมาเจอเกาะปันหยีได้ขึ้นไปปักธงให้พรรคพวกที่อพยพ มาี่ด้วยกันรู้ว่าเป็นสถานที่เหมาะสมที่จะตั้งบ้านเรือน คำว่า “ปันหยี” แปลว่า “ธง” มีลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งเรียงราย อยู่บนทะเลมีที่ดินนิดเดียวซึ่งเอาไว้เป็นที่สร้างมัสยิดและกุโบว์ ชาวเกาะส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และสร้าง หมู่บ้านแทบทั้งหมดด้านหน้าของหน้าผาหินปูนเหนือน้ำทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำประมงพื้นบ้าน ตลอดจนมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารมากมายบนเกาะ เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาแวะเยี่ยม ชมมีสินค้าที่ ี่ระลึกจำหน่าย เช่น ผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอย ผ้าบาติก สร้อย กำไล แหวน ที่ทำมากจากหอยมุก และยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีก เช่น น้ำพริกกุ้งเสียบ กะปิและเป็นจุดพักทานอาหาร นักท่องเที่ยว มักนิยมมาทาน อาหารกลางวันที่เกาะปันหยีี



     นที่อุดมสมบูรณ์ ให้ปักธงไว้ ชุมชนเกาะปันหยีเป็นกลุ่มที่มีวิถีชีวิตภายใต้บริบทวัฒนธรรมอิสลาม
และอาชีพประมง อาศัยร่วมกันในพื้นที่ ที่มีข้อจำกัดด้านนิเวศน์ และโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนทศวรรษที่ 2520 ชาวชุมชนมีระบบการผลิตที่ผูกพัน
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับการดำรงชีวิต ที่พึ่งพาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ มีเป้าหมายการผลิตเพื่ออยู่เพื่อกิน มีระบบความเชื่อ ภายใต้ระบบความสัมพันธ์
เชิงเครือญาติ อันแน่นแฟ้น ต่อมา เมื่อมีการประกาศให้อ่าวพังงา เป็นอุทยานแห่งชาติ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยมีทุนทางวัฒนธรรม
และทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่ง “ล่อใจ” ภายใต้การจัดการ ของภาครัฐและภาคธุรกิจ ส่งผลให้เกาะปันหยี และบริเวณใกล้เคียง “ถูกเที่ยว”
เกาะปันหยี


    หมู่บ้านเกาะปันหยี จ.พังงา ตั้งอยู่กลางทะเล ใช้เรือเป็นพาหนะเดินทางประมาณ 20-30 นาที มีประชากรอยู่อาศัยประมาณ 4,022 คน
มีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนปีละ 1 ล้านคน ในหนึ่งปีสามารถส่งผู้ป่วยจากเกาะปันหยีเข้ามารักษาในเมืองได้เพียง 4 เดือน คือ ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.
ส่วนอีก 8 เดือนที่เหลือเป็นช่วงพายุและมรสุม ทำให้ไม่สามารถเดินทางด้วยเรือได้
เกาะปันหยี เป็นหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งก่อสร้างบนพื้นที่น้ำทะเลท่วมถึง
บ้านถูกสร้างยกระดับให้พ้นการขึ้น- ลง ของน้ำทะเล บริเวณหมู่บ้านอยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ ชาวปันหยีเป็นชุมชนชาวประมงดั้งเดิม
ประกอบอาชีพประมงน้ำตื้น โดยการทำประมงอวนลอย โป๊ะ เลี้ยงหอยแครง เลี้ยงปลากระชัง ปัจจุบันเกาะปันหยีเป็นชุมชนที่รองรับนักท่องเที่ยว
โดยได้ทำการปรับปรุงบ้านอยู่อาศัยเดิมบางส่วนเป็นร้านอาหารและจำหน่ายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว
 ชุมชนกลางทะเลของชาวมุสลิมตั้งแต่อดีต
ประมาณ 200 ปีมาแล้ว บ้านทั้งหมดอยู่ในน้ำ มีมัสยิดและโรงเรียน ชาวบ้านมีอาชีพขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และเลี้ยงปลาในกระชัง
    
เกาะปันหยี เป็นเกาะเล็กปัจจุบันเกาะปันหยีเป็นชุมชนที่รองรับนักท่องเที่ยวโ ดยได้ทำการปรับปรุง บ้านอยู่อาศัยเดิมบางส่วนเป็นร้านอาหาร
และจำหน่ายของ ที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว
ประวัติความเป็นมา

    คำว่า "ปันหยี" แปลว่า "ธง" มาจากภาษาอินโดนีเซีย ในอดีตมีครอบครัวชาวชวา หรือชาวอินโดนีเซีย 3 ครอบครัว หนึ่งในนั้น มี "โต๊ะนาบู"
เป็นผู้นำการอพยพออกมาหาที่ทำกินใหม่ ตกลงกันว่าหากใครพบที่ทำกิ
อย่างหนักและต่อเนื่อง มาตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2520 ก่อให้เกิดภาวะ ตลาดซื้อขายขึ้น แทนที่ตลาดน้ำใจ พื้นที่ทำกินของชุมชน
ถูกเบียดแทรก ให้จำกัดและแคบลง เกิดการละเมิดสิทธิชุมชน โดยอำนาจอิทธิพลที่เหนือกว่า เกิดภาวะแย่งชิงทรัพยากร ระหว่างคนนอกกับคนใน
ระหว่างรัฐกับชุมชน รูปแบบการผลิตปรับเปลี่ยนไป เน้นเป้าหมาย เพื่อตอบสนองการบริโภค ที่ไร้ขีดจำกัด ผู้คนถูกดึงออก จากความสัมพันธ์ ระหว่างเครือญาติ
หันไปสร้างความสัมพันธ์ เชิงผลประโยชน์มากขึ้น ขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติ ลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ชาวชุมชนเกาะปันหยี พยายามดิ้นรน
เพื่อหาทางออกให้ตัวเอง ส่วนใหญ่พบว่า ในสถานการณ์ดังกล่าว การยอมจำนน และเชื่อมประสาน เข้ากับอำนาจภายนอก และระบบตลาด
ส่งผลให้สามารถ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเฉพาะตนได้ ขณะที่บางส่วนยังยืนหยัด ที่จะไม่ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของตน เพื่อการปรับตัว
แต่กระนั้นก็ตาม กระบวนการ สุดท้าย ของการผลิต ยังคงผูกพันอยู่กับ การตอบสนองผู้บริโภค ที่เป็นคนนอก และระบบธุรกิจท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน
   ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ของระบบเศรษฐกิจ และแบบแผนการดำเนินชีวิตพบว่า ได้ส่งผล ให้เกิดภาวะความสูญเสีย และอ่อนแอของชุมชน หลายด้านคือ การสูญเสีย
ความเป็นปึกแผ่น และความเข้มแข็ง การไหลออกของทรัพยากรมนุษย์ การถูกดูดซับทรัพยากร และการสูญเสียอำนาจ ในการจัดการทรัพยากร ก่อให้เกิดภาวะ
การแตกกระจาย ของชุมชนอย่างชัดเจน ในสถานการณ์การแข่งขันที่มี่มากขึ้น ชาวชุมชนเกาะปันหยี มีประสบการณ์ ถึงความผันผวน ของระบบเศรษฐกิจ
ที่ควบคุมได้ และความไม่แน่นอน ของรายได้ที่ต้องพึ่งพาธุรกิจที่ควบคุมไม่ได้ และความไม่แน่นอน ของรายได้ที่ต้องพึ่งพาธุรกิจทุน และกลไกตลาดภายนอก
จึงเริ่มตระหนัก ในสภาพการสูญเสียอำนาจ และความเข้มแข็ง เกิดกระบวนการผลิตซ้ำ เพื่อเสริมสร้างอำนาจชุมชน และเรียกร้องความเป็นตัวตน
กลับคืนมาขึ้นหลายรูปแบบ เช่น การส่งเสริม ให้ยึดหลักปฏิบัติทางศาสนา การสร้างเอกลักษณ์ เชิงชาติพันธุ์ การต่อต้านกระแสวัฒนธรรมใหม่ และการสร้างกฎเกณฑ์ กติกาสังคม
    ทัศนะต่อปัญหา และวิธีการแก้ปัญหาของชุมชนคือ การให้ความสำคัญ ต่อปัจจัยการใช้วิถีชีวิตแบบเดิม ที่พึ่งพาทะเล เพื่อแก้ปัญหา การทิ้งถิ่น และทบทวน การรับการช่วยเหลือ
จากภาครัฐ การคืนเวที การดำรงชีวิต ให้อยู่ในบทบาทของชุมชน มากกว่าการที่รัฐ จะใช้อาณัติของรัฐเกินจำเป็น

สภาพทั่วไปของตำบล

    พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกาะอยู่กลางทะเล จำนวน 3 หมู่บ้าน อีกหนึ่งหมู่บ้านอยู่ติดชายฝั่ง พื้นทีทั้งหมด 11,080 ไร่เศษ หรือคิดเป็น 17 ตารางกิโลเมตร
เป็นหมู่บ้านพัฒนาปานกลาง รายได้เฉลี่ยไม่ผ่านเกณฑ์ จปฐ.

อาณาเขตตำบล
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลตากแดด
ทิศใต้ ติดต่อกับ อ่าวพังงา
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวพังงา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอ่าวพังงา

จำนวนประชากรของตำบล
ประชากรทั้งสิ้น 4,022 คน แบ่งเป็นชาย 1,999 คน และหญิง 2,023 คน

ข้อมูลอาชีพของตำบล
ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงเป็นอาชีพหลัก ส่วนอาชีพรอง คือ ค้าขาย ,รับจ้างทั่วไป และ ทำการเกษตร

ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล
1. บ้านกลางน้ำ
2.ภูเขาเขียน
3.ภูเขาหมาจู
4.อุทธยานแห่งชาติอ่าวพังงา เกาะปันหยี เกาะปันหยีเป็นเกาะเล็ก ๆ มีที่ราบประมาณ 1 ไร่ มีบ้านเรือนประมาณ 200 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่มีอาชีพ เป็นชาวประมง ขายของที่ระลึก
และขายอาหารให้แก่นักท่องเที่ยว มีโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่งชื่อโรงเรียน บ้านเกาะปันหยี ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
โรงเรียนเกาะปันหยีตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาเปิดสอน 3 ระดับ
คือก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษา 

วิสัยทัศน์ : นักเรียนมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติสามารถใช้ศิลปวัฒนธรรมไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับเกาะปันหยี
การเดินทาง

อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 8 กิโลเมตร จากทางหลวงหมายเลข 4 จะมีทางแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4144 เข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร
จะถึงท่าเรือท่าด่านศุลกากรสามารถเช่าเรือจากบริเวณท่าเรือได้ หรือเดินทางโดยรถสองแถวมีรถออกจากตัวเมืองไปท่าเรือท่าด่านศุลกากรทุกวัน
 









เกาะปันหยีหรือบ้านกลางน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา ชื่อนี้มีที่มาเนื่องจาก “โต๊ะบาบู”ผู้นำชาวอินโดนีเซียอพยพมาเมื่อ 200 ปีก่อน เมื่อมาเจอเกาะปันหยีได้ขึ้นไปปักธงให้พรรคพวกที่อพยพ มาี่ด้วยกันรู้ว่าเป็นสถานที่เหมาะสมที่จะตั้งบ้านเรือน คำว่า “ปันหยี” แปลว่า “ธง” มีลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งเรียงราย อยู่บนทะเลมีที่ดินนิดเดียวซึ่งเอาไว้เป็นที่สร้างมัสยิดและกุโบว์ ชาวเกาะส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และสร้าง หมู่บ้านแทบทั้งหมดด้านหน้าของหน้าผาหินปูนเหนือน้ำทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำประมงพื้นบ้าน ตลอดจนมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารมากมายบนเกาะ เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาแวะเยี่ยม ชมมีสินค้าที่ ี่ระลึกจำหน่าย เช่น ผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอย ผ้าบาติก สร้อย กำไล แหวน ที่ทำมากจากหอยมุก และยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีก เช่น น้ำพริกกุ้งเสียบ กะปิและเป็นจุดพักทานอาหาร นักท่องเที่ยว มักนิยมมาทาน อาหารกลางวันที่เกาะปันหยีี







































































เที่ยวพังงา เกาะสิมิลัน






                                         

                                                      เที่ยวพังงา.......ที่เกาะสิมิลัน



เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา








• หมู่เกาะสิมิลัน ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 43 เมื่อปีพ.ศ. 2525 มีขนาดพื้นที่ 128 ตารางกิโลเมตร (80000 ไร่) ในปีพ.ศ. 2541 มีการผนวกเกาะตาชัยและเกาะบอนเพิ่มอีก 12 ตารางกิโลเมตร รวมเป็น 140 ตารางกิโลเมตร (87,500ไร่) ซึ่งเป็นพื้นที่บก 15 ตารางกิโลเมตร (9,375 ไร่) 
• อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันอยู่ในเขต อ.คุระบุรี จ.พังงา สิมิลัน เป็นภาษายาวี หมายถึง เก้า ตามจำนวนเกาะที่เรียงตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเกาะหนึ่งอยู่ด้านทิศใต้ เกาะแปดหรือเกาะสิมิลันมีขนาดใหญ่ที่สุดบนพื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร และมียอดสูงสุดที่ 244 เมตร
กฎระเบียบข้อห้าม
• การท่องเที่ยวพักผ่อนในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ มีกฎระเบียบที่นักท่องเที่ยวผู้มีจิตสำนึกทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการใช้พื้นที่ร่วมกันอย่างยั่งยืนถาวร ดังนี้
  -ไม่เก็บทุกอย่างออกจากพื้นที่นอกจากขยะ
  -ไม่ส่งเสียงดังอันเป็นการรบกวนผู้อื่น รวมทั้งสัตว์ป่า
  -ไม่ล่า ทำลาย หรือกระทำการใดๆ อันจะทำให้พืช สัตว์ และสภาพแวดล้อมเสียหาย
  -จงตระหนักถึงคุณค่าของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ที่เราทุกคนต้องใช้ร่วมกันและรักษาไว้เพื่อตัวเราเอง
แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและกิจกรรมที่น่าสนใจ
• เกาะเมียงหรือเกาะสี่ เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานฯ หาดทรายขาวละเอียดน่าเล่นน้ำทั้งหาดใหญ่และหาดเล็กซึ่งต้องเดินผ่านป่าดิบสภาพสมบูรณ์ประมาณ 20 นาที เป็นที่อาศัยของนกชาปีไหน ค้างคาวแม่ไก่ และปูไก่ที่มีเสียงร้องคล้ายลูกไก่ รวมทั้งสัตว์ป่าสารพัดชนิด บนเกาะมีแหล่งน้ำจืด มีบ้านพัก ลานกางเต็นท์ ร้านค้าสวัสดิการ และมีบริการเรือหางยาวพาดำน้ำตื้น
• เกาะสิมิลันหรือเกาะแปด เป็นเกาะใหญ่ที่สุด มีอ่าวใหญ่โค้งสวยงาม เรียกว่า อ่าวเกือก ทรายขาวละเอียดราวแป้ง หน้าอ่าวสามารถดำน้ำชมปะการังน้ำตื้นได้ ด้านขวาของอ่าวมีหินรูปร่างคล้ายเรือใบตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ของสิมิลัน สามารถปีนขึ้นไปชมทิวทัศน์ได้
• เกาะปาหยูหรือเกาะเจ็ด ด้านตะวันออกมีทั้งจุดดำน้ำตื้นและน้ำลึกที่สวยงามมาก นักดำน้ำหลายคนชอบที่นี่มากที่สุด เพราะมีทั้งปะการังแข็ง ปะการังอ่อน กัลปังหา และฝูงปลานานาชนิด รองลงไปคือด้านตะวันตก ส่วนด้านเหนือมีกองหินมีกัลปังหา เกาะนี้ไม่มีหาด
• หินปูซาหรือหินหัวกะโหลก เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีก้อนหินรูปร่างคล้ายหัวกะโหลกอยู่เหนือน้ำ ส่วนใต้น้ำก็แปลกตาด้วยก้อนหินที่มีรูมีโพรงและมีช่องให้นักดำน้ำตื่นตาตื่นใจ
• เกาะห้า ด้านตะวันตกมีกองหินขนาดใหญ่ที่มีปะการังอ่อนขึ้นอยู่ทั่ว พื้นที่ใกล้ๆ มีปลาไหลสวนที่มุดอยู่และชูคอออกมาดักอาหาร
กองหินแฟนตาซี เป็นจุดดำน้ำลึกอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบางูหรือเกาะเก้า มีกองหินสลับซับซ้อนที่เต็มไปด้วยปะการังอ่อนและกัลปังหา
• หินสันฉลาม เป็นกองหินปริ่มน้ำใกล้ๆ เกาะปาหยันหรือเกาะสาม นักดำน้ำมักได้พบกับฉลามครีบเงิน ฉลามเสือดาว และฉลามหูขาว
• เกาะบอน อยู่ระหว่างหมู่เกาะสิมิลันกับเกาะตาชัย ไม่มีหาด แม้ใต้น้ำไม่สวยเท่าจุดอื่นๆ แต่มีโอกาสพบกระเบนราหูได้มาก เหมาะสำหรับการดำน้ำลึก
• เกาะตาชัย อยู่เหนือสุดของหมู่เกาะสิมิลัน บนเกาะมีหาดทรายขาวละเอียดสวยงาม มีแหล่งน้ำจืดและลานกางเต็นท์ เหมาะสำหรับการดำน้ำลึก เป็นที่ซึ่งพบฉลามวาฬได้บ่อย
การเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลัน 
• นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปลงเรือที่ท่าเรือทับละมุ จ.พังงา จากทางหลวงหมายเลข 4 (ช่วงระนอง-พังงา) ช่วง ต.ลำแก่น มีทางแยกขวาไปท่าเรือทับละมุอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก่อนถึงท่าเรือด้านซ้ายมือเป็นที่ตั้งของที่ทำการและศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
• หากเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งสายใต้ สามารถไปได้ทุกคันที่วิ่งสายระนอง-พังงา ลงที่ทางแยกไปท่าเรือทับละมุแล้วต่อรถรับจ้างมาที่ท่าเรือ
• ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนพฤษภาคม เป็นฤดูท่องเที่ยว มีเรือโดยสารจากท่าเรือทับละมุไปเกาะสิมิลันทุกวัน โดยเรือส่วนเรือออกช่วงเช้า หากมาเป็นหมู่คณะสามารถเช่าเหมาเรือได้
• หมู่เกาะสิมิลันอยู่ห่างจากฝั่งที่ท่าเรือทับละมุซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดประมาณ 70 กิโลเมตร แต่ก็มีเรือท่าเรือโดยสารธรรมดาและเรือเร็วบริการพานักท่องเที่ยวมาจากภูเก็ตด้วย
• หมู่เกาะสิมิลันอยู่ห่างไกลจากฝั่ง มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จำกัด การเดินทางไปเกาะสิมิลันจึงต้องติดต่อล่วงหน้าเท่านั้น
การติดต่อและสำรองที่พัก
• ติดต่อบ้านพักที่ที่ฝ่ายบริการบ้านพัก สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร.0-2561-2918, 0-2561-2921, 0-2561-4292-4 ต่อ 746 หรือที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน โทร.0-7659-5045
• อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนเยี่ยมชมหาความสำราญสนุกสนานเฮฮาเท่านั้น แต่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันยังเป็นสถานที่ซึ่งมีคุณค่าอันประเมินไม่ได้เป็นมรดกทางธรรมชาติและยังเป็นแหล่งความรู้สำหรับทุกคน เป็นที่รวมของธรรมทั้งพันธุ์พืชและเหล่าสัตว์ที่ยังหลงเหลือจากการถูกล่าอาจกล่าวได้ว่าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่สมบูรณ์บริสุทธิ์ เป็นที่รวมของป่าหลายประเภทเป็นที่บรรจบกันของป่าดิบกับแนวปะการัง ด้วยอาณาเขตที่ครอบคลุมทั้งทะเลและผืนป่าอันสุดสมบูรณ์ จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากตั้งแต่ปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่น ฉลามวาฬ จนถึงนกหายากอย่างเช่น นกชาปีไหน นกลุมพูขาว รวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 27 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 22 ชนิด และสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก 4 ชนิด สัตว์เหล่านี้อยู่อาศัย หากิน และดำรงเผ่าพันธุ์มาช้านานในพื้นที่แห่งนี้โดยไม่มีมนุษย์ปะปน จึงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้ไปเยือนจะก่อความเสียหาย ทำลาย หรือแม้แต่ทำการรบกวนต่อสิ่งมีชีวิตตังเล็กๆ สักตัว
ข้อห้ามดำเนินการในเขตอุทยานฯ (คัดลอกจากเอกสารของอุทยานแห่งชาติเกาะสิมิลัน)

  1.ห้ามก่อกองไฟ
  2.ห้ามประกอบอาหาร
  3.ห้ามจุดเทียนไขในเต้นท์
  4.ห้ามส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
  5.ห้ามเคลื่นย้ายเครื่องนอนทั้งในบ้านพักและเต็นท์
  6.ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในเขตอุทยานฯ
  7.ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อุทยานฯอย่างเคร่งครัด
รายละเอียดบ้านพัก
1.บ้านชมวิว มี 20 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ท่าน ราคา 2,000 บาท/ห้อง/คืน (อยู่เกาะสี่) 
2.บ้านสิมิลัน มี 5 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ท่าน ราคา 1,000 บาท/ห้อง/คืน (อยู่เกาะสี่) 
3.บ้านปูไก่ 1 มี 5 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ท่าน ราคา 600 บาท/ห้อง/คืน (อยู่เกาะสี่)
4.บ้านปูไก่ 2 มี 5 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ท่าน ราคา 600 บาท/ห้อง/คืน (อยู่เกาะสี่) 
5.บ้านหูยง มี 5 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ท่าน ราคา 600 บาท/ห้อง/คืน (อยู่เกาะสี่) 
6.บ้านปายัง มี 5 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ท่าน ราคา 600 บาท/ห้อง/คืน (อยู่เกาะสี่) 
7.บ้านปาหยัน มี 5 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ท่าน ราคา 600 บาท/ห้อง/คืน (อยู่เกาะสี่)
8.เต็นท์ ราคา 400 บาท+อุปกรณ์เครื่องนอน พักได้ 2 ท่าน (มีทั้งเกาะสี่และเกาะแปด)
• กรณีนำเต็นท์มากางเอง ให้กางที่เกาะแปด ค่าธรรมเนียมกางเต็นท์ 40 บาท/คน/คืน
ค่าธรรมเนียมบุคคลเข้าเขตอุทยานแห่งชาติ (เกาะสิมิลัน)
คนไทย  ผู้ใหญ่ 40 บาท / เด็ก 20 บาท
ต่างชาติ  ผู้ใหญ่ 200 บาท / เด็ก 100 บาท
ค่าธรรมเนียมดำน้ำลึก : คนไทยและต่างชาติ 200 บาท/คน/วัน

ค่าเช่าอุปกรณ์ดำน้ำ : หน้ากาก 100 บาท/วัน, ตีนกบ 100 บาท/วัน, ชูชีพ 50 บาท/วัน
สถานที่ติดต่อ 

• อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
93 หมู่ 5 บ้านทับละมุ ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา 82210
โทร. 0 - 7659 - 5045 (บนฝั่ง), โทร. 0 - 7642 - 1365 (เกาะสี่), โทร. 0 - 7642 - 2136 (เกาะแปด)




 ร้อน... ร้อน... ร้อน... นับวันอากาศบ้านเราดูเหมือนจะร้อนขึ้นทุกวันๆ แถมอุณหภูมิก็ดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้เราต้องหาวิธีคลายร้อนกันหน่อยแล้ว งั้น... ไปเที่ยวทะเลกันดีกว่า!!



แผนที่หมู่เกาะสิมิลัน โดย ไทยทัวร์














+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วัดคีรีวงศ์จังหวัดนครสวรรค์







อาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519    ถึงปัจจุบัน




วัดคีรีวงศ์ ตั้งอยู่ที่ ต.ปากน้ำโพ อ.เมืองฯ จ.นครสวรรค์ ติดกับถนนมาตุลีและถนนดาวดึงส์ ตรงข้ามวิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์และ บริษัทถาวรฟาร์ม ในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ของวัดทั้งบนเขาและที่ราบ ประมาณ ๒๘๐ ไร่
 เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ พระธุดงค์ได้มาปักกลดอยู่บริเวณที่ตั้งวัดในปัจจุบัน ได้พบวัตถุโบราณ เช่น อิฐเก่า ใบเสมาเก่า พระพุทธรูปเก่าและฐานอุโบสถเก่า เป็นต้น


 สถานที่ท่องเที่ยวท่องเที่ยวท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว
สงสัยว่าจะเป็นวัดร้างจึงได้ แจ้งให้กรมการศาสนาทราบและได้ชักชวนประชาชน สร้างกุฎิเล็ก ๆ ที่เชิงเขา ๔-๕ หลังสมัยนั้นยังกันดารไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ กรมการศาสนา ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นมาสำรวจรังวัดจากหลักฐานวัตถุ โบราณและจากการบอกเล่า ของคนเก่าแก่ที่เคยทำไร่อยู่บริเวณวัดคีรีวงศ์ ยืนยันว่าบริเวณนี้เป็นวัดร้างจริงและพบบ่อกรุน้ำซึมด้วยกรมการศาสนา สมัย พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ เป็นอธิบดีกรมการ ศาสนา ได้สำรวจรังวัดและทำแผนที่ไว้ได้พื้นที่วัดทั้งบนเขาและที่ราบประมาณ ๒๘๐ ไร่ 

พ.ศ. ๒๕๐๘ คณะกรรมการผู้ริเริ่มสร้างวัดคีรีวงศ์ ซึ่งมีนายเปงซ้ง แซ่ตั้ง เป็นหัวหน้าได้ ไปขอพระสงฆ์จากเจ้าคณะ อำเภอเมืองฯ ที่วัดนครสวรรค์ เพื่อมาสร้างวัดคีรีวงศ์ 


คณะสงฆ์ได้ส่งพระมหาบุญรอด ปญฺญาวโร ป.ธ.๕ หรือ พระเดชพระคุณพระราชพรหมาจารย์ ในปัจจุบัน ซึ่งจำพรรษาอยู่ วัดนครสวรรค์ ให้มาสร้างวัดคีรีวงศ์ 

อาคารและสถานที่ที่น่าสนใจภายในวัดคีรีวงศ์
๑. อุโบสถ เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ มีสมเด็จพระพุทธโคดม จำลอง ขนาดหน้าตัก ๔ ศอก ๙ นิ้ว เป็นพระประธาน โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต หรือสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น) ปุณฺณสิริ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓ และเททองหล่อพระประธาน ณ วัดคีรีวงศ์ พ.ศ. ๒๕๑๕ และที่ฝาผนังอุโบสถ มีภาพวาด พระเจ้า ๑๐ ชาติ ภาพพุทธประวัติ ปางแสดงปฐมเทศนา และปางแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
๒. ศาลาพุทธานุภาพ เป็นศาลาทรงไทย ๓ มุข ขนาดกว้าง ๑๓ วา ยาว ๓๓ วา และมีมุขด้านหน้าเนื้อที่ ๔๐ ตารางวา มีเนื้อที่ ตั้งอาคาร ๔๖๙ ตารางวา สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ ใช้เป็นสถานที่บวชศีลจารินี ปีละ ๓ ครั้ง รองรับคนบวชได้ ประมาณ ๒,๕๐๐ คน เป็นที่ ประชุมคณะสงฆ์, อบรมข้าราชการ,นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป วันพระใช้เป็นที่ทำบุญ วันธรรมดา ใช้เป็นที่ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ภายในศาลา วาดรูปพุทธประวัติ รูปพระเวสสันดร ๑๓ กัณฑ์ วาดรูปพระเถระองค์ที่สำคัญในประเทศไทย
เช่น หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ, หลวงปู่แหวน, หลวงปู่มั่น เป็นต้น

ด้านหลังวาดรูปพระราชลัญจกร ๙ รัชกาล ด้านข้างศาลาทิศตะวันตก วาดภาพพุทธประวัติ ด้านเหนือวาดรูปธรรมจักร ตรงกลางและพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงและธงชาติ 


ทิศตะวันตก วาดภาพสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ด้านตะวันออกวาดรูปพระเถระผู้ทรงคุณ-ธรรม ด้านต่าง ๆ และวาดรูปพระเวสสันดร 


สำหรับศาลาพุทธานุภาพหลังนี้ สร้างไว้เพื่อใช้เป็นที่ประชุมอบรมศีลจารินี เป็นที่ประชุม พระสงฆ์ นักเรียน นักศึกษา และข้าราชการ สามารถรองรับผู้เข้าประชุม ประมาณ ๒,๐๐๐ คน โดยจัดอบรมศีลจารินีปีละ ๓ ครั้ง ๆ ละ ๗ วันและการประชุม สัมมนาอบรมพัฒนาจิตใจข้าราชการ ตำรวจและนักเรียน นักศึกษา ทุกเดือน ๆ ละหลายครั้ง


๓. โรงเรียนคีรีวงศ์วิทยา ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของวัด เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ ๓ ชั้น มี ๓ มุข ยาว ๕๒ เมตร กว้าง ๑๔ เมตร ชั้น ๑ เป็นห้องประชุม ชั้น๒-๓ เป็นห้องเรียน โดยเป็นที่เรียนนักธรรม,บาลี และพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา มี ม.๑ - ๖ ปัจจุบันมีนักเรียน ๑๓๐ รูป

๔. ศาลาบำเพ็ญบุญ ใช้เป็นที่จัดเลี้ยง ผู้เข้าประชุมหรือผู้มาบวชศีลจารินี สามารถรองรับคน ได้ประมาณ ๒,๐๐๐ คน 

๕. สวนปฎิบัติธรรมโพธิญาณ สวนปฎิบัติธรรมลานโพธิ์ และสวนปฎิบัติธรรมร่มไทร ใช้เป็นสถานที่เดินจงกรมและนั่งสมาธิที่สนามหญ้า หรือใต้ต้นไม้ 


๖. สำนักกรรมฐานอุบาสิกา มี ๒ ส่วน คือ สำนักล่างและสำนักบน มีกุฎิกรรมฐาน ประมาณ ๑๐๐ หลัง 


 ๗. วิหารหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ เป็นวิหารใหญ่ ตั้งอยู่ในสำนักกรรมฐานอุบาสิกา เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ ปูนปั้น หน้าตัก ๔ ศอก ๙ นิ้ว ทาทองน้ำสีเหลืองเป็นที่สิง สถิตย์ของเทพย์ที่เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดคีรีวงศ์ ผู้ขอพรได้รับความสำเร็จขายที่ได้จึงสร้างวิหารถวาย ขนาดกว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๓๐ เมตรและสองข้างหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จ พระพุทฒาจารย์ (โต) และรูปหล่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 

๘. พระพุทธชินสีห์ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ๕ วา ๙ นิ้ว เป็นลักษณะผสมเชียงแสน สุโขทัยและรัตนโกสินทร์ คือ ขัดสมาธิเพชร, เกตุดอกบัวตูม สังฆาฏิสั้น แบบพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน พระพักตร์ ส่วนองค์และพระพาหาเป็นสมัยสุโขทัย ส่วนแท่นพระเป็นสมัยรัตนโกสินทร์ พระพุทธรูปใหญ่บนยอดเขานี้ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๔ โดยนายชุณห์สีห์ นางปราณีอโนดาต เป็นเจ้าภาพสร้างถวาย

การเดินทางมาวัดคีรีวงศ์

1. มาลงที่สถานีรถไฟนครสวรรค์ ต่อรถสองแถวสีเขียว มาลงที่หน้าวัดนครสวรรค์ ต่อรถสายดาวดึงส์ หรือเขาขาด-ตลาด ผ่านหน้าวัดคีรีวงศ์ มีป้ายชื่อวัดติดที่ข้างรถทุกคัน

2. มาลงที่สถานีขนส่งนครสวรรค์ ต่อรถสองแถว ศูนย์ฯ - ตลาด ผ่านหน้าวัดคีรีวงศ์และมีป้ายชื่อวัดคีรีวงศ์ ติดข้างรถทุกคัน


3. เมื่อลงหน้าวัดคีรีวงศ์แล้ว หน้าวัดมีมอเตอร์ไซด์

รับจ้าง ๑๐ บาท 

4. ถ้าจะเดินออกกำลังกาย ก็เดินเข้าได้ ระยะทาง

ประมาณ ๕๐๐ เมตร


  





เที่ยววัดคีรีวงศ์   ชมนครสวรรค์   ได้ทั้งเมือง
     เจดีย์ในเมืองไทยนั้นมีมากมายและเขาเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะส่วนมากจะจัดสร้างไว้ในที่สูงหรือบนยอดเขา ศิลปะการสร้างสวยงามเหลือตา แล้วแต่วัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นนั้น ทำให้ยอดเจดีย์ เป็นที่สถานประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และมีผู้เคารพนับถือขึ้นไปกราบไหว้มากมาย และบางที่ก็เป็นสัญญาลักษณ์ของจังหวัดนั้นไปเลย เช่น พระธาตุดอยสุเทพ,พระธาตุลำปางหลวง และอีกหลาย ๆที่ แต่ที่นี่ก็เป็นเจดีย์  ที่ ศักดิ์สิทธิ์  สวยงามด้วยศิลปะหลายแขนง เป็นสัญลักษณ์ ของจังหวัดนครสวรรค์  ที่ตั้งเด่นอยู่บนเยอดขาใจกลางเมือง เห็นแล้วสวยงามยิ่งนักมองลงมาเห็นเมืองนครสวรรค์ แถมไปที่เดียว ได้สองต่อครับ 

วัดคีรีวงศ์ตั้งอยู่บนเขาดาวดึงส์ อยู่ในเขตตัวเมืองนครสวรรค์ เป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่กับเมืองนครสวรรค์มานนับร้อยปี สร้างมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงสุโขทัย เดิมเป็นวัดร้างกลางป่าเขา มีพระธุดงค์แสวงธรรมมาพบจึงทำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม  และมีผู้คนนิยมเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่นี่ เป็นประจำ ที่องค์พระเจดีย์สวยมาก  ๆ ทั้งเจดีย์เป็นทองเหลืองอร่ามไปทั้งเจดีย์ จัดสร้างขึ้นใหม่โดย หลวงพ่อมหาบุญรอด สร้างเสร็จเมื่อปี 2550 นี้เอง ก่อนทางขึ้นไปมหาเจดีย์ จะมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่คือพระพุทธชินสีห เป็นพระพุทธรูปปางนั่งที่สวยงามองค์หนึ่งของเมืองไทย, วิหารหลวงพ่อโต ,ศาลาพุธทานุภาพ,พระพุทธโคคมจำลอง กราบไว้ขอพรก่อนเข้าไปมหาเจดีย์ อันสวยงามและศักดิ์สิทธ์ พระจุฬามณีเจดีย์ เป็นเจดีย์เก่าแก่ สร้างมาประมาณ 600 ปีแล้ว เข้ามาทางด้านในเจดีย์ มีทั้งหมด สี่ชั้น โดยในชั้นที่สองจะมีรูปหล่อเหมือนขนาดเท่าองค์จริงของพระชื่อดังหลายองค์เช่น รอยพระพุทธบาทจำลอง 12 ราศี, พระพุฒาจารย์โตวัดระฆัง,หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้,หลวงพ่อสดวัดปากน้ำและอีกหลายองค์  ให้ประชาชนกราบไหว้และปิดทองเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตนเองถือว่ามีพระเกจิเกือบทุกรูปเลยก็ว่าได้และทางด้านข้างก็มีวัตถุมงคลที่ทางวัดจัดสร้างวางไว้ภายในตู้ให้ผู้ที่สนใจบูชาติดตัวกลับไปที่บ้านมีหลายอย่างหลายพุทธคุณ   ชั้นที่สาม จะประดิษฐานพระพุทธรูปจำลองที่สำคัญของเมืองไทยไว้ไห้ ประชาชนได้กราบไว้บูชา มีพระแก้วมรกต,พระพุทธชินราช,พระพุทธโสธร,พระพุทธรูปวัดไร่ขิง นอกนั้นยังมีการทำบุญถวายสังฆทานกับพระอาจารย์ ทางด้านในอีกด้วย ขึ้นไปทางชั้นบนสุดของมหาเจดีย์ ภายในโดมเจดีย์ จะมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง เกี่ยวกับพุทธประวัติสวยงามมาก ๆ ตรงกลางจะประดิษฐาน พระสารีริกธาตุ ไว้บนแท่นเจดีย์องค์เล็ก เพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชาภายในสวย มาก  ๆ ทางด้านนอกจะมีรูปเหมือนหลวงพ่อมหาบุญรอด เป็นพระที่สร้างมหาเจดีย์แห่งนี้ พร้อมกับประวัติของท่าน เชิญนมัสการกราบไหว้องค์หลวงพ่อท่าน



เที่ยววัดคีรีวงศ์ ชมนครสวรรค์ ได้ทั้งเมือง