พม่า (Myanmar) |

ชื่อทางการ : สหภาพพม่า (Union of Myanmar)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ที่ละติจูดที่ 28 องศา 30 ลิปดา ถึง 10 องศา 20 ลิปดาเหนือ ภูมิประเทศตั้งอยู่ตามแนวอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันทำให้มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,000 ไมล์
- ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทิเบตและจีน
- ทางตะวันออกติดกับลาว
- ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับไทย
- ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับบังคลาเทศและอินเดีย
- ทางตะวันตกเฉียงใต้และทางใต้ติดกับทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอล
เมืองหลวง : เนปีดอ (Naypyidaw) (ภาษาพม่า) หรือบางครั้งสะกดเป็น เนปีตอ (Nay Pyi Taw) (มีความหมายว่า มหาราชธานี) เป็นเมืองหลวงและเมืองศูนย์กลางการบริหารของสหภาพพม่าที่ได้ย้ายมาจากย่างกุ้ง ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัตปแว (Kyatpyae) ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองเปียนมานา (Pyinmana) ในเขตมัณฑะเลย์ สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาโดยรอบ เมืองนี้เป็นเมืองเดียวของประเทศพม่าที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่เมืองหลวงเก่าย่างกุ้งจะไฟฟ้าดับอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เมืองนี้อยู่ห่างย่างกุ้งไปทางเหนือประมาณ 320 กิโลเมตร ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งทางการพม่านั้นต้องการ เมืองนี้เริ่มมีการสร้างสิ่งต่าง ๆ บ้างแล้ว เช่น อพาร์ตเมนท์ ซึ่งคนพอมีเงินที่จะมาซื้ออยู่อาศัย เริ่มมีประชาชนอพยพมาอาศัยอยู่หลายหมื่นคน แต่เมืองหลวงแห่งนี้ ยังไม่มีโรงเรียน โรงพยาบาล เปรียบเสมือนเมืองทหาร ซึ่งกำลังก่อสร้างต่อไป
ประชากร : ประมาณ 56 ล้านคน (พ.ศ.2548) มีเผ่าพันธุ์ 135 เผ่าพันธุ์ ประกอบด้วย เชื้อชาติหลัก ๆ 8 กลุ่ม คือ พม่า (ร้อยละ 68) ไทยใหญ่ (ร้อยละ 8) กะเหรี่ยง (ร้อยละ 7) ยะไข่ (ร้อยละ 4) จีน (ร้อยละ 3) มอญ (ร้อยละ 2) อินเดีย (ร้อยละ 2)
ภูมิอากาศ : สภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่ในบริเวณที่เป็นเทือกเขาสูงทางตอนกลางและตอนเหนือของประเทศจะมีอากาศแห้งและร้อนมากในฤดูร้อน ส่วนในฤดูหนาวอากาศจะเย็นมาก ตามชายฝั่งทะเลและบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำจะแปรปรวนในช่วงเปลี่ยนฤดู เพราะได้รับอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่นเสมอ ทำให้บริเวณนี้มีฝนตกชุกหนาแน่นมากกว่าตอนกลางหรือตอนบนของประเทศที่เป็นเขตเงาฝน ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว คือ ควรเดินทางในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ เพราะฝนไม่ตก และอากาศไม่ร้อนจนเกินไปนัก
ภาษา : ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ
ศาสนา : ศาสนาพุทธ (พม่าบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติใน พ.ศ. 2517) ร้อยละ 90 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 5 ศาสนาอิสลามร้อยละ 3.8 ศาสนาฮินดูร้อยละ 0.05
สกุลเงิน : จ๊าด (Kyat : MMK) อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 จ๊าดต่อ 1 บาท หรือประมาณ 1,300 จ๊าดต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (มิถุนายน 2549)
ระบอบการปกครอง : เผด็จการทางทหาร ปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council – SPDC)
- ประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (ประมุขประเทศ) คือ พลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย (Senior General Than Shwe) (เมษายน 2535)
- นายกรัฐมนตรี (หัวหน้ารัฐบาล) คือ พล.อ.เทียน เส่ง (Gen. Thein Sein) นายกรัฐมนตรีคนที่ 11 ของประเทศพม่า
อาหารของประเทศพม่า

ชาวพม่าทั่วไปนิยมบริโภคข้าวเจ้าเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับชาวไทยภาคกลาง ส่วนกับข้าวก็มีทั้งแกง ต้ม ผัด และน้ำพริก จึงดูคล้ายกับอาหารไทย เว้นแต่องค์ประกอบและรสชาติของอาหารจะแตกต่างจากอาหารไทยอยู่พอควร
กับข้าวพม่ามีองค์ประกอบเป็นเนื้อและผักนานาชนิด เนื้อที่นิยมบริโภคมีทั้งเนื้อแพะ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และปลา แต่เมื่อยามถือศีลคนพม่ามักงดอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อวัว ด้วยถือว่าวัวเป็นสัตว์ให้คุณใช้แรงงาน บ้างเชื่อว่าเนื้อวัวเป็นอาหารแสลง คนมีแผลหนองไม่ควรรับประทาน การเรียกชื่อเนื้อวัวก็เลี่ยงใช้เป็นอย่างอื่น คือ วัวเป็นๆจะเรียกว่า นวฺาหรือนัว แต่เรียกเนื้อวัวว่า อะแมตา ซึ่งสะท้อนอิทธิพลฮินดูที่นับถือวัวยิ่งกว่าสัตว์อื่น ในบรรดาอาหารเนื้อนี้ ปลานับว่ามีราคาถูก และมักเป็นปลาน้ำจืด เช่น ปลาตะเพียน ปลาค้าว ปลากด ปลาหมอ ปลากระดี่ และที่นิยมกินกันมาก คือ งาตะเล่าก์ ซึ่งน่าจะเป็นปลาตะลุมพุก ไข่ปลาชนิดนี้ชาวพม่าถือเป็นอาหารชั้นดี ในประเทศพม่านั้นปลาเกือบทุกชนิดมีแต่ตัวใหญ่ๆ ปลาบางชนิดต้องแล่แบ่งขายเป็นท่อนๆ พม่าออกจะมีปลาอุดมสมบูรณ์ ต่างจากไทยที่คนรุ่นหลังมักไม่ค่อยได้เห็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ในแม่น้ำลำคลองกันบ่อยนัก ในส่วนของปลาทะเลนั้น แถบย่างกุ้งแม้จะอยู่ไม่ห่างจากทะเลมากนักแต่ก็ไม่ค่อยพบอาหารทะเล และที่ว่าไปย่างกุ้งจะต้องกินกุ้งย่างอร่อยๆให้ได้นั้นเห็นจะต้องผิดหวัง เพราะไม่ค่อยเห็นมีกุ้งตัวใหญ่ๆวางขายในตลาดสดมากนัก พบแต่กุ้งตัวขนาดแค่คืบ นำมาทำแกงขายตกตัวละ ๔๐๐ จั๊ต ซึ่งนับว่าแพง นอกนั้นจะเป็นกุ้งแห้งกุ้งฝอย มีขายอยู่ในตลาดสดแทบทุกแห่ง
หันมาดูพืชผักที่ชาวพม่านิยมบริโภคกันบ้าง ผักที่พม่าชอบกินก็มีเห็นๆอยู่ทั่วไปในเมืองไทย ที่พบขายอยู่บ่อย เช่น ใบกระเจี๊ยบแดง ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ผักชี ใบบัวบก กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ที่เป็นพืชกินผล กินหัว กินเหง้า มีอาทิ มะเขือยาว มะเขือเทศ แตงกวา แตงร้าน น้ำเต้า มะรุม ลูกเนียง หัวผักกาดขาว มันฝรั่ง หยวกกล้วย หน่อไม้ แครอท และถั่วนานาชนิด พม่าไม่มีผัก "อนามัย" อย่างบ้านเรา ผักทุกชนิดที่ขายตามท้องตลาดมีระดับเดียวคือ "แบกับดิน" แต่ก็เป็นผักใหม่ สด อวบ น่ารับประทาน ส่วนใหญ่เป็นผักที่ใช้ปุ๋ยธรรมชาติใกล้ตัวแทบทั้งสิ้น แต่ไว้ใจได้ว่าปลอดสารพิษ บ้านพม่าส่วนใหญ่ตามชนบทหรือชานเมืองมักมีสวนครัวในบริเวณบ้านปลูกผักไว้กินเอง ที่พบบ่อยๆก็คือร้านน้ำเต้าลูกโตๆ สวนครัวจึงถือเป็นตลาดหลังบ้านสำหรับชาวพม่า จนมีคำพูดติดปากว่า "ปลูกร้านค้าไว้หลังบ้าน" แม้ไม่พึ่งตลาด ก็อยู่ได้สบาย
สำหรับพืชผักที่คนพม่าชอบกินเห็นจะเป็นผลน้ำเต้า ใบกระเจี๊ยบแดง และถั่ว น้ำเต้ากินได้ทั้งยอดและผล นำมาแกง ต้ม และทอดชุบแป้งกินเป็นของว่าง ส่วนใบกระเจี๊ยบปรุงเป็นอาหารได้ทั้งต้มและผัด หากต้มจะเรียกว่า ฉี่งบ่องฮีงโฉ่ หรือนำมาผัด เรียกว่า ฉี่งบ่องจ่อ ใบกระเจี๊ยบจัดได้ว่าเป็นอาหารประจำสำรับ ช่วยเจริญอาหาร และแก้เลี่ยนไปในตัว สำหรับถั่วนั้นเป็นพืชเกษตรเช่นเดียวกับข้าว พม่านิยมบริโภคถั่วถึงราว ๒๐ ชนิด อาทิ ถั่วลิสง ถั่วแขก ถั่วเนย ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วผีเสื้อ เป็นต้น พม่าปลูกถั่วกันมากทางตอนบนของประเทศ คนพม่านำถั่วมาปรุงอาหารได้สารพัดอย่าง ทั้งแกง ต้ม ผัด คั่ว หมัก และทำเป็นน้ำมันปรุงอาหาร หากเยือนพม่าแล้วไม่ได้กินถั่ว หรือพลาดลิ้มรสน้ำเต้าและใบกระเจี๊ยบ ถือว่ายังตีไม่ถึงท้ายครัวพม่า
สิ่งที่อาหารชาติไหนๆมักขาดไม่ได้ก็คือเครื่องปรุงรส การปรุงอาหารให้มีรสชาติและมีกลิ่นหอมชวนกิน พม่าจะใช้น้ำมัน เกลือ หัวหอม และกระเทียมเป็นเครื่องปรุงหลัก และใช้ขิง ตะไคร้ ผักชี ใบแมงลัก ใบมะขาม มะนาวหลวง(พม่าเรียกเช่าก์ตี่) ผงกะหรี่ พริก น้ำปลา ซีอิ๊ว ปลาร้า กะปิ ถั่วเน่า และปลาแห้งเป็นเครื่องปรุงเสริมตามชนิดของอาหาร อาทิ แกงสี่เบี่ยง มีหน้าตาคล้ายแกงฮังเลของไทยภาคเหนือ และคล้ายแกงมัสมั่นของแขก พม่านิยมใส่ขิงเป็นเครื่องปรุงสำคัญ แต่จะไม่ใส่เครื่องเทศมากมายอย่างแกงแขก สำหรับแกงฮีงเล ของพม่าที่ฟังชื่อคล้ายกับแกงฮังเลของคนเมืองกลับมีหน้าตาเหมือนแกงโฮะ ไม่ทราบว่าเป็นด้วยเพราะเหตุใด
คนพม่าไม่กินใบกะเพรา แต่จะกินเฉพาะใบแมงลัก ใบกะเพรานั้นพม่าถือเป็นอาหารสำหรับวัวเท่านั้น คนพม่าจึงมักแปลกใจที่คนไทยนิยมกินใบกระเพา ทำนองเดียวกัน คนไทยทั่วไปจะเห็นแกงไข่ต้มของพม่าเป็นของแปลกเช่นกัน ส่วนมะนาวนั้นพม่ากินกันน้อยเพราะราคาแพงพอๆกับไข่ไก่ คนพม่าจึงใช้มะนาวหลวงซึ่งมีลูกโตกว่าและให้น้ำได้มากกว่ามะนาวควายอย่างที่ไทยนิยม นอกจากนี้ก็ใช้ใบมะขามหรือมะขามเปียกเพิ่มรสชาติด้วยเช่นกัน เครื่องปรุงอีกชนิดที่อดพูดถึงไม่ได้คือ ผงชูรส หรือที่พม่าเรียกว่า อะโฉ่-ฮม่ง แปลตามศัพท์ได้ว่า "ผงหวาน" หากกินอาหารพม่าก็ยากที่จะเลี่ยงผงชูรส เพราะเห็นทั้งแม่ค้าและแม่ครัวชอบปรุงอาหารด้วยผงชูรสกันทีละมากๆ กับข้าวทุกชนิดไม่ว่าจะต้มยำทำแกงอะไรก็ใส่ผงชูรสจนสิ้น แม้แต่โรยคลุกข้าวกินก็มี ที่น่าสนใจคือชาวพม่าจะใช้ผงชูรสประกอบในเครื่องเซ่นเจ้าที่ ส่วนน้ำปลานั้นทางพม่ามีเหมือนไทย นิยมขายเป็นแกลลอนหรือเป็นถุง มีทั้งน้ำปลาชนิดน้ำใสและชนิดน้ำขุ่นจนดำสนิท พม่าเรียกน้ำปลาว่า หงั่งปยาเหย่ ฝ่ายพม่าเชื่อว่าน่าจะเป็นคำไทยประสมคำพม่า มีคำว่า เหย่ เท่านั้นที่เป็นคำพม่า แปลว่า "น้ำ" ส่วน หงั่งปยา เชื่อว่าคงจะเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า น้ำปลา ของไทย
ชุดประจำชาติของประเทศพม่า
ชุดประจำชาติของชาวพม่าเรียกว่า ลองยี (Longyi) เป็นผ้าโสร่งที่นุ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในวาระพิเศษต่าง ๆ ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดารินและเสื้อคลุมไม่มีปก บางครั้งจะใส่ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) ด้วย ส่วนผู้หญิงพม่าจะใส่เสื้อติดกระดุมหน้าเรียกว่า ยินซี (Yinzi) หรือเสื้อติดกระดุมข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) และใส่ผ้าคลุมไหล่ทับ


สหภาพพม่า
พม่า เป็นชาติที่ไทยเรารู้จักกันมานาน ปัจจุบันพม่ามีการปกครองแบบสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยจึงเรียกว่า “สหภาพพม่า” พม่ามีอาณาเขตใกล้เคียงกับไทย และสามารถ ติดต่อกันได้ทั้งทางบก น้ำและอากาศ สหภาพพม่ามีประชากรเป็นชนเชื้อชาติต่าง ๆ หลายเผ่า และเคยตกเป็นเมืองขึ้น ของอังกฤษ แต่วัฒนธรรมทางด้านศิลปะ ศาสนา และเครื่องแต่งกายก็ยัง มิได้เปลี่ยนแปลงไป
การแต่งกาย
เครื่องแต่งกาย ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า “ลองยี” (Longeje) ซึ่งมีทั้งผ้าฝ้ายและไหมที่มีสีสด ของผู้หญิงจะมีลายเชิงด้านล่างและมีลวดลายเล็ก ๆ กระจายทั่ว ผืนผ้า ลวดลายของแต่ละท้องถิ่นจะต่างกัน ผ้าที่ทอมาจากเมืองอมรปุระเป็นลวดลายดอกไม้ เครือไม้ หรือเป็นดอกเป็นลายตามขวาง ไม่นิยมใช้เข็มขัด สวมเสื้อตัวสั้น คอกลม ผ่าอกติดกระดุม 5 เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ บางครั้งเป็นแขนสั้น เลยไหล่ลงมาเล็กน้อย ผ้าตัดเสื้อนิยมใช้ ผ้าเนื้อบาง สีสด เช่น ผ้ามัสลิน ผ้าป่าน หรือผ้าไนลอน สวมรองเท้าคีบรองเท้าแตะ ทั้งหญิง ชาย แต่ของหญิงจะเป็นสี มีลวดลายเป็นดอกดวง ปักด้วยลูกปัด หรือดิ้น เงินดิ้น ทอง สะพายย่าม ซึ่งเป็นผ้าไหมสีสวยสดทอมาจากรัฐฉาน
ผม โดยทั่วไปไว้ผมยาวเกล้าสูง บางทีก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวางบ้าง มีดอกไม้แซมผม เครื่องประดับ นิยมหิน และพลอยที่มีค่าเช่น ทับทิม นิล และหยก
ชาย
เครื่องแต่งกาย นุ่งโสร่งเช่นเดียวกับหญิงแต่สีไม่ฉูดฉาด เป็นลายตาราง โตบ้าง เล็กบ้าง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง โดยทั่วไปใส่เสื้อขาว เมื่อมีพิธีจะสวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ แบบหนึ่ง เรียกว่า “กุยตั๋ง” เป็นเสื้อชายสั้น ๆ ติดดุมถักแบบจีนป้ายมาข้าง ๆ อีกแบบเรียกว่า “กุยเฮง” ตัวยาวถึงสะโพก และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล ถ้าอากาศหนาวจะสวมเสื้อกัก ทอสักหลาดทับอีกชิ้น หนึ่ง จะสวมรองเท้าหุ้มส้นเมื่อมีพิธี
ผม ตัดผมสั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้าหรือ แพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายทิ้งไว้ทางด้านขวา นิยมใช้สีชมพู
ชาวพม่านิยมผลิตผ้าทอมือ แต่จะมีชาวเผ่าหนึ่งคือ พวก Yabeins แปลว่า ผู้ปลูกไหม ได้ ทอผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง เรียกว่า ผ้าตราหมากรุก (Check) นิยมทำกระโปรงแต่งงาน และเครื่องแต่งกายในพิธี ผ้าชนิดนี้จะมีเนื้อแน่น แข็งมาก ก่อนใช้ต้องนำไปแช่น้ำและทุบเสียก่อน เพื่อให้ผ้าเนื้อนิ่ม สีจะสวย ทนทาน นิยมใช้เป็นลองยีของสตรี ชาวพม่าได้เลียนแบบผ้าซิ่นผ้าไหมจากบางกอก เรียกว่า Bangkok lungis จะทอด้วยเส้น ไหมควบ นิยมทำสีอมเทา สีเหลืองอำพัน และสีเขียวทึม ๆ เป็นที่นิยมของสตรีพม่ามาก
พม่า เป็นชาติที่ไทยเรารู้จักกันมานาน ปัจจุบันพม่ามีการปกครองแบบสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยจึงเรียกว่า “สหภาพพม่า” พม่ามีอาณาเขตใกล้เคียงกับไทย และสามารถ ติดต่อกันได้ทั้งทางบก น้ำและอากาศ สหภาพพม่ามีประชากรเป็นชนเชื้อชาติต่าง ๆ หลายเผ่า และเคยตกเป็นเมืองขึ้น ของอังกฤษ แต่วัฒนธรรมทางด้านศิลปะ ศาสนา และเครื่องแต่งกายก็ยัง มิได้เปลี่ยนแปลงไป
การแต่งกาย
เครื่องแต่งกาย ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า “ลองยี” (Longeje) ซึ่งมีทั้งผ้าฝ้ายและไหมที่มีสีสด ของผู้หญิงจะมีลายเชิงด้านล่างและมีลวดลายเล็ก ๆ กระจายทั่ว ผืนผ้า ลวดลายของแต่ละท้องถิ่นจะต่างกัน ผ้าที่ทอมาจากเมืองอมรปุระเป็นลวดลายดอกไม้ เครือไม้ หรือเป็นดอกเป็นลายตามขวาง ไม่นิยมใช้เข็มขัด สวมเสื้อตัวสั้น คอกลม ผ่าอกติดกระดุม 5 เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ บางครั้งเป็นแขนสั้น เลยไหล่ลงมาเล็กน้อย ผ้าตัดเสื้อนิยมใช้ ผ้าเนื้อบาง สีสด เช่น ผ้ามัสลิน ผ้าป่าน หรือผ้าไนลอน สวมรองเท้าคีบรองเท้าแตะ ทั้งหญิง ชาย แต่ของหญิงจะเป็นสี มีลวดลายเป็นดอกดวง ปักด้วยลูกปัด หรือดิ้น เงินดิ้น ทอง สะพายย่าม ซึ่งเป็นผ้าไหมสีสวยสดทอมาจากรัฐฉาน
ผม โดยทั่วไปไว้ผมยาวเกล้าสูง บางทีก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวางบ้าง มีดอกไม้แซมผม เครื่องประดับ นิยมหิน และพลอยที่มีค่าเช่น ทับทิม นิล และหยก
ชาย
เครื่องแต่งกาย นุ่งโสร่งเช่นเดียวกับหญิงแต่สีไม่ฉูดฉาด เป็นลายตาราง โตบ้าง เล็กบ้าง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง โดยทั่วไปใส่เสื้อขาว เมื่อมีพิธีจะสวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ แบบหนึ่ง เรียกว่า “กุยตั๋ง” เป็นเสื้อชายสั้น ๆ ติดดุมถักแบบจีนป้ายมาข้าง ๆ อีกแบบเรียกว่า “กุยเฮง” ตัวยาวถึงสะโพก และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล ถ้าอากาศหนาวจะสวมเสื้อกัก ทอสักหลาดทับอีกชิ้น หนึ่ง จะสวมรองเท้าหุ้มส้นเมื่อมีพิธี
ผม ตัดผมสั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้าหรือ แพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายทิ้งไว้ทางด้านขวา นิยมใช้สีชมพู
ชาวพม่านิยมผลิตผ้าทอมือ แต่จะมีชาวเผ่าหนึ่งคือ พวก Yabeins แปลว่า ผู้ปลูกไหม ได้ ทอผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง เรียกว่า ผ้าตราหมากรุก (Check) นิยมทำกระโปรงแต่งงาน และเครื่องแต่งกายในพิธี ผ้าชนิดนี้จะมีเนื้อแน่น แข็งมาก ก่อนใช้ต้องนำไปแช่น้ำและทุบเสียก่อน เพื่อให้ผ้าเนื้อนิ่ม สีจะสวย ทนทาน นิยมใช้เป็นลองยีของสตรี ชาวพม่าได้เลียนแบบผ้าซิ่นผ้าไหมจากบางกอก เรียกว่า Bangkok lungis จะทอด้วยเส้น ไหมควบ นิยมทำสีอมเทา สีเหลืองอำพัน และสีเขียวทึม ๆ เป็นที่นิยมของสตรีพม่ามาก
การแต่งกายของชาวพม่า
วัฒนธรรมของพม่า
อาจกล่าวได้ว่า หากคุณเกิดเป็นลูกชายในครอบครัวชาวไทยใหญ่ ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องอยากเห็นคุณเข้าร่วมพิธีกรรมที่มีชื่อว่า ปอยส่างลอง สักครั้งในชีวิต เพราะพิธีกรรมนี้คือความภาคภูมิใจของพ่อแม่และชุมชนไทยใหญ่ที่ได้เห็นบุตรหลานของตนเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กชายในโลกปุถุชนไปเป็นสามเณรในโลกธรรมะ
ปอยส่างลอง เป็นภาษาไทยใหญ่ คำว่า ปอย หมายถึง งานหรือพิธี ส่วนคำว่า ส่างลอง หมายถึง ผู้ที่จะบรรพชาเป็นสามเณรหรือส่าง รวมแล้วหมายถึง พิธีบรรพชาสามเณร นั่นเอง เชื่อกันว่า หากลูกชายได้ผ่านพิธีกรรมนี้จะได้อานิสงค์ 8 กัลป์ ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าภาพบวชลูกผู้อื่นจะได้อานิสงค์ 4 กัลป์
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีโรงเรียน การบรรพชาเป็นสามเณรนอกเหนือจากเป็นโอกาสของบุตรชายที่จะได้ทดแทนบุญคุณมารดาแล้ว ยังเป็นโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้อีกด้วย ตามปกติ ปอยส่างลองมักจะจัดขึ้น เมื่อสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยว คือประมาณเดือนมีนาคม- เมษายนของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะมีการประชุมตกลงกันว่าจะจัดในช่วงเวลาไหน โดยจะไม่ให้ตรงกับที่อื่น เพื่อที่จะได้มีโอกาสไปร่วมงานปอยส่างลองในหมู่บ้านอื่น ๆ ได้
โดยปกติ ปอยส่างลอง มักจะจัดกันประมาณ 5 - 7 วัน พ่อแม่หรือผู้ปกครองของส่างลองจะต้องเตรียมข้าวของเงินทองและเครื่องใช้สำหรับจัดงานและเสาะหาผู้ที่จะมาดูแลส่างลองทั้งชายและหญิง หรือที่เรียกกันว่า“แม่เลี้ยงสาว”และ“ป้อเลี้ยงหม่าว” โดยจะต้องมีเป็นคู่ อาจจะมี 2 - 3 คู่ ป้อเลี้ยงหม่าวจะคอยผลัดเปลี่ยนกันแบกส่างลอง ส่วนแม่เลี้ยงสาวจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและการแต่งตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ หรือคนที่รู้จักสนิทสนมกัน
ก่อนถึงวันงาน บรรดาผู้ปกครองและญาติ ๆ จะพาส่างลอง ไปโกนผมที่วัด จากนั้น ส่างลองจะต้องนุ่งขาวห่มขาวและรับศีลห้า จากพระสงฆ์ จากนั้นบางแห่งจะมีการเดินขบวนกันไปขอขมาและเดินทางไปยังศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเป็นการบอกกล่าวว่าจะมีการจัดปอยส่างลองขึ้น
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการ “รับส่าง” หรือ “ฮับส่าง” ในวันนี้ บรรดาญาติ ๆ ของส่างลองที่เป็นผู้หญิงจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงส่างลอง โดยจะช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าทาปากให้สวยที่สุด การแต่งกายของส่างลองจะประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนที่เป็นเครื่องประดับศีรษะ เสื้อและกางเกง
ส่วนที่ประดับศีรษะจะวางมวยผมของผู้เป็นบุพการีไว้บนศีรษะและโพกด้วยผ้าที่มีสีสันแล้วคลี่เป็นรูปพัดให้สวยงาม สมัยก่อนประดับประดาไปด้วยดอกไม้สดนานาชนิดแต่ปัจจุบันนิยมใช้ดอกไม้ประดิษฐ์เพราะความคงทนและสามารถนำไปใช้บวชได้อีกหลายงาน ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวปักดิ้นเงินดิ้นทองระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแดดและสวมทับด้วยเครื่องประดับที่เรียกว่า “แคบคอ” และสร้อยมุก กางเกงเป็นแบบโจงกระเบน ปัจจุบัน นิยมตัดเย็บเป็นกางเกงสำเร็จรูป ใส่ถุงเท้าสีขาวคลุมน่องเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
มีหลายตำนานความเชื่อที่พยายามอธิบายถึงที่มาที่ไปของการแต่งองค์ทรงเครื่องส่างลองให้เหมือนกับเจ้าชายตัวน้อย บ้างก็ว่าเป็นการจำลองการผนวชของเจ้าชายสิทธัทถะที่เสวยสุขก่อนจะสละราชสมบัติและออกผนวชในสมัยพุทธกาล อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ในสมัยก่อนมีเด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยากจนและกำพร้าพ่อ ในขณะนั้นบรรดาลูกเศรษฐีในหมู่บ้านของเขาได้รวมตัวกันจัดปอยส่างลองขึ้น เด็กชายอัปลักษณ์อยากเป็นส่างลองแต่แม่ของเขาไม่มีเงิน เขาถูกคนอื่นๆ พูดจาถากถางว่าจนแล้วยังอยากที่จะเป็นส่างลองอีก เมื่อ บุนสาง หรือ พระพรหม ทราบเรื่อง จึงแปลงร่างเป็นชายชรามาให้เงินเพื่อนำไปจัดงาน และเสกให้เด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม เมื่อแห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่พบเห็นต่างกล่าวชื่นชมความงดงามส่างลองผู้นี้ตลอดทาง
บรรดาเจ้าชายตัวน้อยๆ จะได้รับการดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีเหมือนเป็นเจ้าชายจริง ๆ จะให้เท้าแตะพื้นไม่ได้ ซึ่ง “ตะแป่” จะเป็นผู้ที่แบกส่างลองไว้บนบ่าเมื่อต้องเดินขบวนแห่ หรือไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยจะมีบรรดาพี่เลี้ยงคอยกางร่มทองคำและดูแลเรื่องอาหารการกินและความเรียบร้อยของทรัพย์สินเครื่องประดับไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และที่สำคัญอย่าให้ คลาดสายตา เพราะถ้าเผลอ อาจจะมีคนแกล้งอุ้มส่างลองไปซ่อน ซึ่งพี่เลี้ยงต้องหาตัวให้พบ และเมื่อพบแล้ว ผู้ที่ลักส่างลองไปจะไม่ยอมให้ตัวส่างลองไปง่าย ๆ แต่จะเรียกเงินกันเป็นค่าไถ่ตัว พี่เลี้ยงต้องยอมจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้
ขั้นตอนต่อไป “ตะแป่” จะแบกส่างลอง เข้าแถวไปเป็นขบวน ซึ่งกระหึ่มไปด้วยเสียง กลองมองเซิง เครื่องดนตรีประจำชาติของไทยใหญ่ บรรเลงร่วมกับฉาบและมอง(หรือฆ้อง-ฆ้องแบบไทยใหญ่จะประกอบด้วย ฆ้องขนาดต่าง ๆ ประมาณ 6 ลูกหรือมากกว่านั้นที่เรียงกันโดยใช้ 2 คนแบกหน้าหลัง คนข้างหลังจะเป็นคนตี โดยคันที่ใช้ตีจะเชื่อมกับไม้ตีทั้ง 6 ทำให้ตีครั้งเดียวจะเกิดเสียงฆ้องสูงต่ำกังวานประสานกัน) ขบวนจะร่ายรำไปตามที่ต่างๆ เพื่อ “กั่นตอ” หรือ “ขอขมา” โดยชาวบ้านจะนำข้าวตอกมาโปรยเมื่อขบวนส่างลองผ่านมาเป็นการอวยพร
จากนั้นจะเป็นการ “แห่โคหลู่” (เครื่องไทยทาน)และส่างลองไปยังวัด ในวันนี้ชาวบ้านมาร่วมงานกันมากซึ่งแต่ละคน ก็จะแต่งกายชุดประจำชาติไทยใหญ่ร่วมขบวนกันอย่างสวยงาม จากนั้นจะประกอบพิธีที่เรียกว่า “ฮ่องขวัญ” หรือ “เรียกขวัญ” คล้ายกับการทำขวัญนาค และเลี้ยงอาหาร 12 ชนิด (ในสมัยก่อนมีถึง 32 ชนิด จากความเชื่อว่าผู้บรรพชาต้องมีอวัยวะครบ 32 ปัจจุบัน เหลือเพียง12 ชนิด ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่า หมายถึงข้าวปลาธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี)
ในวันรุ่งขึ้นจึงจะถึงพิธีบรรพชา ในช่วงเช้าของวันจะเป็นการแห่ส่างลองในชุดประดับประดาเต็มยศไปยังวัด ในช่วงบ่ายจะเป็นพิธีกรรมในอุโบสถ โดยส่างลองจะกล่าวคำขออนุญาตบรรพชาจากพระเถระ เมื่อได้รับอนุญาตจากพระเถระแล้วจึงรับจีวรจากบิดามารดาเพื่อเปลี่ยนจากชุดส่างลองไปห่มผ้าเหลืองถึงตอนนี้อาจจะมีเสียงพระเถระประกาศให้ช่วยกันเช็ดลิปสติก บรัชออน และอายชาโดว์ที่ช่วยกันแต่งแต้มอย่างสวยงามในตอนเช้าออกให้หมดจด เพราะเมื่อรับศีลสิบแล้วจะถือว่าเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเณรน้อยในผ้าเหลืองยังปากแดง แก้มแดงอยู่ ก็คงจะดูไม่เหมาะนัก เมื่อพิธีกรรมในการบรรพชาเสร็จสิ้นลง ผู้คนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อาจจะมีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จในการจัดเตรียมปอยส่างลองในหมู่ญาติพี่น้องและเจ้าภาพที่จัดงาน
ปัจจุบัน ชุมชนชาวไทยใหญ่ทั้งในรัฐฉาน ประเทศพม่า และชายแดนภาคเหนือของไทยยังคงจัดงานปอยส่างลองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารูปแบบการจัดงานของแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปตามงบประมาณที่มี แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันก็คือ ความภาคภูมิใจ ที่ได้เห็นเด็กชายห่มผ้าเหลืองและบุญกุศุลที่ได้จากการเปลี่ยนสถานภาพบุตรหลานจากโลกปุถุชนเข้าสู่โลกธรรมะ ดังเช่น งานปอยส่างลองที่จัดขึ้นในชุมชนชาวไทยใหญ่ที่หนีภัยการสู้รบมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2545
เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 เด็กชายวัย 8-19 ปีจำนวน 40 คนในชุดสีขาวกำลังยืนเข้าแถวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แม้วันนี้ พวกเขาจะไม่ได้เป็น “เจ้าชายสิทธัทถะ” ใส่เครื่องประดับสวยงาม ขี่หลัง “ตะแป่” เหมือนกับส่างลองในงานปอยส่างลองที่อื่น แต่พวกเขาก็ยังตื่นเต้นดีใจที่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะได้เปลี่ยนจากเสื้อกางเกงสีขาวเป็นจีวรสีเหลือง สร้างบุญกุศลให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องและคนในชุมชนที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้ขึ้น
จายแสง เด็กชายวัย 10 ขวบ บอกเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่และความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมวันนี้ว่า
“ที่หมู่บ้านผมมีการสู้รบบ่อยๆ ผมจึงต้องหนีมาอยู่ที่นี่ และผมดีใจมากที่ได้บวชในวันนี้”
พิธีปอยส่างลองที่นี้มีความแตกต่างจากที่อื่นในหลายเรื่อง อาทิ อายุของเด็กชายที่เข้าร่วมงานซึ่งบางคนล่วงเลยมาถึง 19 ปี รวมทั้งหลายคนเป็นเด็กกำพร้า เพราะนับตั้งแต่ชุมชนแห่งนี้อพยพหนีภัยการสู้รบมาจากฝั่งรัฐฉานเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เนื่องจากไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยให้เป็นผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินมาซื้ออาหารประทังชีวิต ด้วยรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 70-80 บาท จากสถานภาพที่ไม่แน่นอนและรายได้ที่จำกัดเช่นนี้ ทำให้กว่าจะได้จัดงานบวชครั้งนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปจนอายุของเด็กหลายคนมากกว่าเด็กที่เข้าร่วมพิธีทั่วไป และด้วยงบประมาณอันจำกัด การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่สามารถเนรมิตให้ “ลูกชาย” เป็น “เจ้าชาย” ได้ดังตั้งใจ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็หยิบยืมหรือได้รับการบริจาคจากชุมชนภายนอก ด้วยเหตุนี้ เฉดสีเหลืองของจีวรในงานนี้จึงมีตั้งแต่สีอ่อนซีดไปจนถึงสีเข้ม รวมทั้งขนาดเล็กใหญ่ไม่พอดีกับขนาดตัวของผู้สวมใส่ แต่ถึงกระนั้น ผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็ยังมองภาพบุตรหลานในชุดจีวรสีเหลืองด้วยความปลาบปลื้มใจ
พีธีกรรมในวันนี้ จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ในช่วงเช้า “ส่างลอง” จะใส่ชุดสีขาวเข้าแถวเรียงตามลำดับไหล่ยาวต่อกันไป ด้านหลังมีขบวนวงดนตรีแบบไทยใหญ่ครบชุด ตามด้วยครอบครัวและสมาชิกในชุมชน ขบวนค่อยๆ เคลื่อนออกจาก หมู่บ้านไปยังวัดซึ่งสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ จุคนได้ไม่เกิน 100 คน ทำให้บรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่ต้องนั่งรออยู่ด้านนอก และเด็กๆ พากันแอบมองลอดฟากไม้ไผ่ดูผู้คนด้านในกันอย่างสนุกสนาน พิธีกรรม ภายในจะมีพระ 4 - 5 รูป สวดมนต์ และญาติช่วยใส่จีวรใหม่ให้ หลังจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเปลี่ยนผ่าน “ส่างลอง” เป็นสามเณรแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็จะนำข้าวของจำเป็นไปถวาย ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้นลงในช่วงบ่าย
ผู้ปกครองคนหนึ่งเปิดเผยความรู้สึกของตนที่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายว่า
“มันเจ็บปวดเล็กน้อยที่เราต้องจัดงานบวชครั้งนี้แตกต่างจากที่เคยทำในรัฐฉาน แต่อย่างน้อยผมก็ยังภูมิใจที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้าเหลือง”
ปอยส่างลองที่ชายแดนไทย-พม่าแห่งนี้นับเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า พิธีกรรมนี้มีความสำคัญสำหรับชีวิตลูกผู้ชายชาวไทยใหญ่ และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่างานจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หรือเล็กกะทัดรัดเพียงใด รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของผู้คนที่เข้าร่วมงานนั้นมากมายเท่ากัน
|
• ประเทศพม่า• เมืองหลวง : กรุงเนปีดอ
• เมืองใหญ่สุด : ย่างกุ้ง
• ภาษาราชการ : ภาษาพม่า นอกจากภาษาพม่า ซึ่งเป็นภาษาราชการแล้ว พม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก 18 ภาษา
• สกุลเงิน : จัต
• สหภาพเมียนมาร์ (Union of Myanmar) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งชาวตะวันตกเรียกประเทศนี้ว่า Burma จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2532 พม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น Myanmar ชื่อใหม่นี้เป็นที่ยอมรับจากองค์การสหประชาชาติ แต่บางชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ไม่ยอมรับการเปลี่ยนชื่อนี้ เนื่องจากไม่ยอมรับรัฐบาลทหารที่เป็นผู้เปลี่ยนชื่อ ปัจจุบันหลายคนใช้คำว่า Myanmar ซึ่งมาจากชื่อประเทศในภาษาพม่าว่า Myanma Naingngandaw และชาวพม่าเรียกชื่อประเทศตนเองว่า บะหม่า

วัฒนธรรมของพม่า
อาจกล่าวได้ว่า หากคุณเกิดเป็นลูกชายในครอบครัวชาวไทยใหญ่ ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องอยากเห็นคุณเข้าร่วมพิธีกรรมที่มีชื่อว่า ปอยส่างลอง สักครั้งในชีวิต เพราะพิธีกรรมนี้คือความภาคภูมิใจของพ่อแม่และชุมชนไทยใหญ่ที่ได้เห็นบุตรหลานของตนเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กชายในโลกปุถุชนไปเป็นสามเณรในโลกธรรมะ
ปอยส่างลอง เป็นภาษาไทยใหญ่ คำว่า ปอย หมายถึง งานหรือพิธี ส่วนคำว่า ส่างลอง หมายถึง ผู้ที่จะบรรพชาเป็นสามเณรหรือส่าง รวมแล้วหมายถึง พิธีบรรพชาสามเณร นั่นเอง เชื่อกันว่า หากลูกชายได้ผ่านพิธีกรรมนี้จะได้อานิสงค์ 8 กัลป์ ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าภาพบวชลูกผู้อื่นจะได้อานิสงค์ 4 กัลป์
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีโรงเรียน การบรรพชาเป็นสามเณรนอกเหนือจากเป็นโอกาสของบุตรชายที่จะได้ทดแทนบุญคุณมารดาแล้ว ยังเป็นโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้อีกด้วย ตามปกติ ปอยส่างลองมักจะจัดขึ้น เมื่อสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยว คือประมาณเดือนมีนาคม- เมษายนของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะมีการประชุมตกลงกันว่าจะจัดในช่วงเวลาไหน โดยจะไม่ให้ตรงกับที่อื่น เพื่อที่จะได้มีโอกาสไปร่วมงานปอยส่างลองในหมู่บ้านอื่น ๆ ได้
โดยปกติ ปอยส่างลอง มักจะจัดกันประมาณ 5 - 7 วัน พ่อแม่หรือผู้ปกครองของส่างลองจะต้องเตรียมข้าวของเงินทองและเครื่องใช้สำหรับจัดงานและเสาะหาผู้ที่จะมาดูแลส่างลองทั้งชายและหญิง หรือที่เรียกกันว่า“แม่เลี้ยงสาว”และ“ป้อเลี้ยงหม่าว” โดยจะต้องมีเป็นคู่ อาจจะมี 2 - 3 คู่ ป้อเลี้ยงหม่าวจะคอยผลัดเปลี่ยนกันแบกส่างลอง ส่วนแม่เลี้ยงสาวจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและการแต่งตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ หรือคนที่รู้จักสนิทสนมกัน
ก่อนถึงวันงาน บรรดาผู้ปกครองและญาติ ๆ จะพาส่างลอง ไปโกนผมที่วัด จากนั้น ส่างลองจะต้องนุ่งขาวห่มขาวและรับศีลห้า จากพระสงฆ์ จากนั้นบางแห่งจะมีการเดินขบวนกันไปขอขมาและเดินทางไปยังศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเป็นการบอกกล่าวว่าจะมีการจัดปอยส่างลองขึ้น
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการ “รับส่าง” หรือ “ฮับส่าง” ในวันนี้ บรรดาญาติ ๆ ของส่างลองที่เป็นผู้หญิงจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงส่างลอง โดยจะช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าทาปากให้สวยที่สุด การแต่งกายของส่างลองจะประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนที่เป็นเครื่องประดับศีรษะ เสื้อและกางเกง
ส่วนที่ประดับศีรษะจะวางมวยผมของผู้เป็นบุพการีไว้บนศีรษะและโพกด้วยผ้าที่มีสีสันแล้วคลี่เป็นรูปพัดให้สวยงาม สมัยก่อนประดับประดาไปด้วยดอกไม้สดนานาชนิดแต่ปัจจุบันนิยมใช้ดอกไม้ประดิษฐ์เพราะความคงทนและสามารถนำไปใช้บวชได้อีกหลายงาน ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวปักดิ้นเงินดิ้นทองระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแดดและสวมทับด้วยเครื่องประดับที่เรียกว่า “แคบคอ” และสร้อยมุก กางเกงเป็นแบบโจงกระเบน ปัจจุบัน นิยมตัดเย็บเป็นกางเกงสำเร็จรูป ใส่ถุงเท้าสีขาวคลุมน่องเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
มีหลายตำนานความเชื่อที่พยายามอธิบายถึงที่มาที่ไปของการแต่งองค์ทรงเครื่องส่างลองให้เหมือนกับเจ้าชายตัวน้อย บ้างก็ว่าเป็นการจำลองการผนวชของเจ้าชายสิทธัทถะที่เสวยสุขก่อนจะสละราชสมบัติและออกผนวชในสมัยพุทธกาล อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ในสมัยก่อนมีเด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยากจนและกำพร้าพ่อ ในขณะนั้นบรรดาลูกเศรษฐีในหมู่บ้านของเขาได้รวมตัวกันจัดปอยส่างลองขึ้น เด็กชายอัปลักษณ์อยากเป็นส่างลองแต่แม่ของเขาไม่มีเงิน เขาถูกคนอื่นๆ พูดจาถากถางว่าจนแล้วยังอยากที่จะเป็นส่างลองอีก เมื่อ บุนสาง หรือ พระพรหม ทราบเรื่อง จึงแปลงร่างเป็นชายชรามาให้เงินเพื่อนำไปจัดงาน และเสกให้เด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม เมื่อแห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่พบเห็นต่างกล่าวชื่นชมความงดงามส่างลองผู้นี้ตลอดทาง
บรรดาเจ้าชายตัวน้อยๆ จะได้รับการดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีเหมือนเป็นเจ้าชายจริง ๆ จะให้เท้าแตะพื้นไม่ได้ ซึ่ง “ตะแป่” จะเป็นผู้ที่แบกส่างลองไว้บนบ่าเมื่อต้องเดินขบวนแห่ หรือไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยจะมีบรรดาพี่เลี้ยงคอยกางร่มทองคำและดูแลเรื่องอาหารการกินและความเรียบร้อยของทรัพย์สินเครื่องประดับไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และที่สำคัญอย่าให้ คลาดสายตา เพราะถ้าเผลอ อาจจะมีคนแกล้งอุ้มส่างลองไปซ่อน ซึ่งพี่เลี้ยงต้องหาตัวให้พบ และเมื่อพบแล้ว ผู้ที่ลักส่างลองไปจะไม่ยอมให้ตัวส่างลองไปง่าย ๆ แต่จะเรียกเงินกันเป็นค่าไถ่ตัว พี่เลี้ยงต้องยอมจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้
ขั้นตอนต่อไป “ตะแป่” จะแบกส่างลอง เข้าแถวไปเป็นขบวน ซึ่งกระหึ่มไปด้วยเสียง กลองมองเซิง เครื่องดนตรีประจำชาติของไทยใหญ่ บรรเลงร่วมกับฉาบและมอง(หรือฆ้อง-ฆ้องแบบไทยใหญ่จะประกอบด้วย ฆ้องขนาดต่าง ๆ ประมาณ 6 ลูกหรือมากกว่านั้นที่เรียงกันโดยใช้ 2 คนแบกหน้าหลัง คนข้างหลังจะเป็นคนตี โดยคันที่ใช้ตีจะเชื่อมกับไม้ตีทั้ง 6 ทำให้ตีครั้งเดียวจะเกิดเสียงฆ้องสูงต่ำกังวานประสานกัน) ขบวนจะร่ายรำไปตามที่ต่างๆ เพื่อ “กั่นตอ” หรือ “ขอขมา” โดยชาวบ้านจะนำข้าวตอกมาโปรยเมื่อขบวนส่างลองผ่านมาเป็นการอวยพร
จากนั้นจะเป็นการ “แห่โคหลู่” (เครื่องไทยทาน)และส่างลองไปยังวัด ในวันนี้ชาวบ้านมาร่วมงานกันมากซึ่งแต่ละคน ก็จะแต่งกายชุดประจำชาติไทยใหญ่ร่วมขบวนกันอย่างสวยงาม จากนั้นจะประกอบพิธีที่เรียกว่า “ฮ่องขวัญ” หรือ “เรียกขวัญ” คล้ายกับการทำขวัญนาค และเลี้ยงอาหาร 12 ชนิด (ในสมัยก่อนมีถึง 32 ชนิด จากความเชื่อว่าผู้บรรพชาต้องมีอวัยวะครบ 32 ปัจจุบัน เหลือเพียง12 ชนิด ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่า หมายถึงข้าวปลาธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี)
ในวันรุ่งขึ้นจึงจะถึงพิธีบรรพชา ในช่วงเช้าของวันจะเป็นการแห่ส่างลองในชุดประดับประดาเต็มยศไปยังวัด ในช่วงบ่ายจะเป็นพิธีกรรมในอุโบสถ โดยส่างลองจะกล่าวคำขออนุญาตบรรพชาจากพระเถระ เมื่อได้รับอนุญาตจากพระเถระแล้วจึงรับจีวรจากบิดามารดาเพื่อเปลี่ยนจากชุดส่างลองไปห่มผ้าเหลืองถึงตอนนี้อาจจะมีเสียงพระเถระประกาศให้ช่วยกันเช็ดลิปสติก บรัชออน และอายชาโดว์ที่ช่วยกันแต่งแต้มอย่างสวยงามในตอนเช้าออกให้หมดจด เพราะเมื่อรับศีลสิบแล้วจะถือว่าเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเณรน้อยในผ้าเหลืองยังปากแดง แก้มแดงอยู่ ก็คงจะดูไม่เหมาะนัก เมื่อพิธีกรรมในการบรรพชาเสร็จสิ้นลง ผู้คนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อาจจะมีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จในการจัดเตรียมปอยส่างลองในหมู่ญาติพี่น้องและเจ้าภาพที่จัดงาน
ปัจจุบัน ชุมชนชาวไทยใหญ่ทั้งในรัฐฉาน ประเทศพม่า และชายแดนภาคเหนือของไทยยังคงจัดงานปอยส่างลองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารูปแบบการจัดงานของแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปตามงบประมาณที่มี แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันก็คือ ความภาคภูมิใจ ที่ได้เห็นเด็กชายห่มผ้าเหลืองและบุญกุศุลที่ได้จากการเปลี่ยนสถานภาพบุตรหลานจากโลกปุถุชนเข้าสู่โลกธรรมะ ดังเช่น งานปอยส่างลองที่จัดขึ้นในชุมชนชาวไทยใหญ่ที่หนีภัยการสู้รบมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2545
เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 เด็กชายวัย 8-19 ปีจำนวน 40 คนในชุดสีขาวกำลังยืนเข้าแถวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แม้วันนี้ พวกเขาจะไม่ได้เป็น “เจ้าชายสิทธัทถะ” ใส่เครื่องประดับสวยงาม ขี่หลัง “ตะแป่” เหมือนกับส่างลองในงานปอยส่างลองที่อื่น แต่พวกเขาก็ยังตื่นเต้นดีใจที่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะได้เปลี่ยนจากเสื้อกางเกงสีขาวเป็นจีวรสีเหลือง สร้างบุญกุศลให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องและคนในชุมชนที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้ขึ้น
จายแสง เด็กชายวัย 10 ขวบ บอกเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่และความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมวันนี้ว่า
“ที่หมู่บ้านผมมีการสู้รบบ่อยๆ ผมจึงต้องหนีมาอยู่ที่นี่ และผมดีใจมากที่ได้บวชในวันนี้”
พิธีปอยส่างลองที่นี้มีความแตกต่างจากที่อื่นในหลายเรื่อง อาทิ อายุของเด็กชายที่เข้าร่วมงานซึ่งบางคนล่วงเลยมาถึง 19 ปี รวมทั้งหลายคนเป็นเด็กกำพร้า เพราะนับตั้งแต่ชุมชนแห่งนี้อพยพหนีภัยการสู้รบมาจากฝั่งรัฐฉานเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เนื่องจากไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยให้เป็นผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินมาซื้ออาหารประทังชีวิต ด้วยรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 70-80 บาท จากสถานภาพที่ไม่แน่นอนและรายได้ที่จำกัดเช่นนี้ ทำให้กว่าจะได้จัดงานบวชครั้งนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปจนอายุของเด็กหลายคนมากกว่าเด็กที่เข้าร่วมพิธีทั่วไป และด้วยงบประมาณอันจำกัด การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่สามารถเนรมิตให้ “ลูกชาย” เป็น “เจ้าชาย” ได้ดังตั้งใจ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็หยิบยืมหรือได้รับการบริจาคจากชุมชนภายนอก ด้วยเหตุนี้ เฉดสีเหลืองของจีวรในงานนี้จึงมีตั้งแต่สีอ่อนซีดไปจนถึงสีเข้ม รวมทั้งขนาดเล็กใหญ่ไม่พอดีกับขนาดตัวของผู้สวมใส่ แต่ถึงกระนั้น ผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็ยังมองภาพบุตรหลานในชุดจีวรสีเหลืองด้วยความปลาบปลื้มใจ
พีธีกรรมในวันนี้ จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ในช่วงเช้า “ส่างลอง” จะใส่ชุดสีขาวเข้าแถวเรียงตามลำดับไหล่ยาวต่อกันไป ด้านหลังมีขบวนวงดนตรีแบบไทยใหญ่ครบชุด ตามด้วยครอบครัวและสมาชิกในชุมชน ขบวนค่อยๆ เคลื่อนออกจาก หมู่บ้านไปยังวัดซึ่งสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ จุคนได้ไม่เกิน 100 คน ทำให้บรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่ต้องนั่งรออยู่ด้านนอก และเด็กๆ พากันแอบมองลอดฟากไม้ไผ่ดูผู้คนด้านในกันอย่างสนุกสนาน พิธีกรรม ภายในจะมีพระ 4 - 5 รูป สวดมนต์ และญาติช่วยใส่จีวรใหม่ให้ หลังจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเปลี่ยนผ่าน “ส่างลอง” เป็นสามเณรแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็จะนำข้าวของจำเป็นไปถวาย ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้นลงในช่วงบ่าย
ผู้ปกครองคนหนึ่งเปิดเผยความรู้สึกของตนที่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายว่า
“มันเจ็บปวดเล็กน้อยที่เราต้องจัดงานบวชครั้งนี้แตกต่างจากที่เคยทำในรัฐฉาน แต่อย่างน้อยผมก็ยังภูมิใจที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้าเหลือง”
ปอยส่างลองที่ชายแดนไทย-พม่าแห่งนี้นับเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า พิธีกรรมนี้มีความสำคัญสำหรับชีวิตลูกผู้ชายชาวไทยใหญ่ และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่างานจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หรือเล็กกะทัดรัดเพียงใด รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของผู้คนที่เข้าร่วมงานนั้นมากมายเท่ากัน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น